วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

10 โรคประหลาด ที่ไม่น่าเป็นที่สุดในโลก


10 โรคประหลาด ที่ไม่น่าเป็นที่สุดในโลก


1 .โรคค็อดทาร์ดหรือโรคศพเดิน (Walking Corpse Syndrome) 

      เป็นหนึ่งในโรคทางจิต ตั้งชื่อตามนายแพทย์จูลส์ ค็อดทาร์ด แพทย์ด้านสมองชาวฝรั่งเศส ที่พบว่าผู้ป่วยคนหนึ่งของเขาเป็นโรคนี้ นายแพทย์ค็อดทาร์ดกล่าวถึงผู้ป่วยที่เขารักษาว่า "เธอไม่เชื่อว่าเธอมีอวัยวะ จึงเห็นว่าไม่จำเป็นต้องกินอาหาร" 

      ผู้ป่วยมีความเชื่อว่าสูญเสียอวัยวะสำคัญ แม้กระทั่งสูญเสียวิญญาณ ผู้ที่เป็นมากๆ จะเชื่อว่าตนตายไปแล้ว ทั้งยังได้กลิ่นเหม็นเน่าจากเนื้อของตัวเอง รู้สึกว่าเหมือนหนอนกำลังกัดกินเนื้อ บางคนเชื่อว่าตัวเองไม่มีกระเพาะ จึงไม่กินอาหาร เป็นไปได้ว่าผู้ที่เป็นโรคเสพยาบ้า โคเคน มากเกินไป และอาจเกี่ยวข้องกับโรคจิตเภท โรคอารมณ์แปรปรวน 

2. โรคแวมไพร์ซินโดรม 

          ได้ชื่อว่าแวมไพร์ต้องนึกถึงผีค้างคาวดูดเลือด ที่ออกอาละวาดในยามราตรี แต่กลัวแสงสว่างเป็นที่สุด ผู้ป่วยโรคนี้ก็เช่นกัน คือกลัวแสงสว่าง เพราะเมื่อถูกแสงแดดแล้วจะเจ็บปวดอย่างมหาศาล ผิวแห้งแตกเป็นขุย มีรอยไหม้ 

3. โรคจัมพิ่ง เฟรนช์แมน ออฟ เมน (Jumping Frenchman of Maine Disorder) 

      เป็นโรคที่นายแพทย์จอร์จ มิลเลอร์ เบียร์ด อธิบายไว้เป็นคนแรก เมื่อค.ศ.1878 คาดว่าผู้ป่วยที่เขาพบนั้นเป็นชายชาวแคนาดาเชื้อสายฝรั่งเศส ผู้ป่วยจะเกิดอาการเมื่อถูกกระตุ้น เช่น ถ้าตะโกนดังๆ ให้ทำอย่างใดอย่างหนึ่งผู้ป่วยก็จะทำตามนั้น เช่น มีผู้ตะโกนว่า "ตบหน้าเมีย" ก็จะกระโดดเข้าไปตบหน้าภรรยาของตนเองทันที หรือถ้าได้ยินประโยคแปลกๆ ประโยคที่เป็นภาษาต่างประเทศ ก็จะพูดประโยคนั้นๆ ซ้ำไปซ้ำมาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ 

4. โรคเส้นบลาชโค (Blaschko"s lines) 

      ผู้เป็นโรคจะลายริ้วๆ ไปทั้งตัว นับเป็นโรคหายากอีกโรคหนึ่ง ไม่สามารถอธิบายได้ตามหลักกายวิภาค ผู้ที่กล่าวถึงโรคนี้เป็นครั้งแรกคือนายแพทย์อัลเฟรด บลาชโค แพทย์ด้านผิวหนังชาวเยอรมัน ที่กล่าวถึงอาการของผู้เป็นโรคเมื่อค.ศ.1901 บริเวณกระดูกสันหลังจะเป็นเส้นรูปตัว V บริเวณหน้าอก ท้อง และข้างลำตัวจะเป็นเส้นรูปตัว S  

5. โรคพิคา หรือโรคที่กินวัตถุที่ไม่สามารถบริโภคได้ 

          ผู้ที่เป็นโรคจะมีความอยากกินวัตถุที่ไม่ใช่อาหารมาก เช่น ดิน กระดาษ กาว โคลน ไม่ทราบว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ไม่มีวิธีรักษา แต่เป็นไปได้ว่าร่างกายขาดแร่ธาตุบางอย่าง 

6. โรคอลิซในแดนมหัศจรรย์ หรือ "ไมครอพเซีย" 

      เกิดจากความผิดปกติของสมอง ที่แปรสัญญาณไปยังสายตาผู้ป่วยให้มองทุกอย่างเล็กจากความเป็นจริง ทั้งที่สายตาของผู้ป่วยไม่มีความผิดปกติใดๆ เช่น มองสุนัขที่เลี้ยงไว้ ก็จะเห็นว่ามีขนาดเท่าหนู รถยนต์คันใหญ่ ก็จะเห็นว่ามีขนาดเท่ากับรถเด็กเล่น 

7. โรคบลูสกิน หรือ "โรคผิวสีน้ำเงิน" 
      ผู้เป็นโรคจะมีร่างกายเป็นสีน้ำเงิน ที่สหรัฐเมื่อประมาณร้อยกว่าปีที่แล้ว ครอบครัวของนายมาร์ติน ฟูเกต เด็กกำพร้าชาวฝรั่งเศส และเข้ามาตั้งรกรากอยู่บริเวณลำธารทร็อบเบิ้ลซัมครีก รัฐเคนตั๊กกี้ เมื่อค.ศ.1820 เป็นโรคนี้กันอย่างถ้วนหน้า เริ่มจากที่นายฟูเกตเองที่เป็นโรคอยู่แล้ว เมื่อเขาสมรสกับหญิงปกติ ลูก 4 ใน 7 คนเป็นโรคสีน้ำเงินเหมือนพ่อ ลูกหลานที่มาจากเชื้อสายนี้อีก 6 ชั่วคนยังเป็นโรคนี้ด้วย โดยหนูน้อยเบนจามิน สเตซี่ ที่มีเชื้อสายฟูเกต เป็นคนในตระกูลล่าสุดที่เป็นโรค โชคดีที่เด็กชายไม่เป็นมาก เพียงไม่นานหลังจากเกิดก็หาย ปัจจุบันเด็กชายอายุ 8 ขวบ 

8. โรคเวอร์วูล์ฟซินโดรม 

          ผู้ป่วยจะมีขนยาวรุงรังตามหน้าตา แขนขา ทุกส่วนของร่างกาย คาดว่าปัจจุบันมีผู้เป็นโรคประมาณ 50 คนจากทั่วโลก เช่น เด็กชายปรัชวิราช พาทิล ชาวอินเดีย ที่ต้องเจ็บปวดจากการล้อเลียนของเพื่อนๆ และสังคม ซึ่งครอบครัวพยายามหาทุกวิถีทางเพื่อช่วยเหลือ ทั้งใช้เลเซอร์แบบแพทย์แผนปัจจุบัน ไปจนถึงการรักษาแบบทางเลือก อายุรเวช 

9. โรคมือเท้าช้างหรือ "เอเลแฟนต์เทียซิส" 

      เป็นโรคที่พบเห็นกันค่อนข้างบ่อย โดยเฉพาะในประเทศเขตร้อนที่มียุง เนื่องจากยุงเป็นพาหะของโรค โดยจะแพร่หนอนปรสิตวูชีเรเรียแบนครอฟตี หนอนปรสิตบรูเจียมาลายี หนอนปรสิตบี.ทิโมลี มายังคน ทำให้ไข่ของหนอนปรสิตเข้ามาในกระแสเลือดและแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย มันอาจใช้เวลาฟักตัวนานหลายปี 

          ที่เว็บไซต์ของโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อนระบุว่า โรคมือเท้าช้างเป็นโรคที่เกิดจากหนอนพยาธิตัวกลมฟิลาเรีย มีลักษณะคล้ายเส้นด้ายอาศัยอยู่ในระบบน้ำเหลืองของคน โดยมียุงเป็นพาหะนำโรค อาการที่เห็นได้ชัดคือ ขา แขน หรืออวัยวะเพศบวมโตผิดปกติ เนื่องจากภาวะอุดตันของท่อน้ำเหลือง 

          โรคเท้าช้างในประเทศไทยมี 2 ชนิด 

          - ชนิดแรกเกิดจากเชื้อบรูเจียมาลายี มักมีอาการแขนขาโต พบมากในบริเวณที่ราบทางฝั่งตะวันออกของภาคใต้ ตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงไปจนถึงนราธิวาส โดยมี "ยุงลายเสือ" เป็นพาหะ ยุงชนิดนี้กัดกินเลือดของสัตว์และคน ชอบออกหากินเวลากลางคืน มีแหล่งเพาะพันธุ์ตามแอ่งหรือหนองน้ำที่มีวัชพืชและพืชน้ำต่างๆ เช่น จอก ผักตบชวา แพงพวยน้ำ หรือหญ้าปล้อง  

          - ชนิดที่สองเกิดจากเชื้อวูชีเรเรียแบนครอฟตี มักทำให้เกิดอาการบวมโตของอวัยวะสืบพันธุ์และแขนขา พบมากในบริเวณภาคตะวันตกของประเทศไทย เช่น ที่อำเภอสังขละบุรี อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก อำเภอละอุ่น อำเภอเมือง จังหวัดระนอง เป็นต้น ยุงพาหะนำโรคเท้าช้างชนิดนี้ได้แก่ "ยุงลายป่า" เพาะพันธุ์ตามป่าไผ่ ในโพรงไม้ และกระบอกไม้ไผ่ ปัจจุบันพบว่าเชื้อโรคเท้าช้างชนิดวูชีเรเรียแบนครอฟตี สายพันธุ์ที่นำเข้าโดยผู้อพยพจากชายแดนไทย-พม่า มียุงพาหะหลายชนิดรวมทั้งยุงรำคาญ ซึ่งเป็นยุงบ้านที่พบได้ทั่วไป  

          คนที่มีอาการมักจะเกิดจากการที่ถูกยุงที่มีเชื้อพยาธิเท้าช้างกัดซ้ำหลายครั้ง อาการในระยะแรก ผู้ป่วยอาจมีไข้ ซึ่งเกิดจากการอักเสบของต่อมและท่อน้ำเหลืองบริเวณรักแร้ ขาหนีบ หรืออัณฑะ เนื่องจากพยาธิตัวแก่ที่อยู่ในท่อน้ำเหลืองสร้างความระคายเคืองแก่เนื้อเยื่อภายใน รวมทั้งมีการปล่อยสารพิษออกมาด้วย อาการอักเสบจะเป็นๆ หายๆ อยู่เช่นนี้ และจะกระตุ้นให้เกิดอาการบวมขึ้น หากเป็นนานหลายปีจะทำให้อวัยวะนั้นบวมโตอย่างถาวรและผิวหนังหนาแข็งขึ้นจนมีลักษณะขรุขระ 

10. โรคโพรจีเรีย หรือ "โรคแก่ก่อนวัยอันควร" 
     เป็นโรคที่เกิดจากรหัสทางพันธุกรรมตัวหนึ่งบกพร่อง ทำให้ผู้ป่วยมีรูปร่างหน้าตาแก่กว่าอายุจริงมาก ส่วนใหญ่แล้วเด็กจะอายุสั้น คือไม่เกิน 13 ปี มักเสียชีวิตจากสาเหตุหัวใจล้มเหลว หัวใจวาย อาการของผู้เป็นโรคคือ หัวล้าน กระดูกบาง มีรูปร่างเตี้ยแคระ มักเจ็บปวดตามข้อ แต่เมื่อแรกเกิดแล้วจะดูเหมือนกับเด็กปกติ

วันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ข้อคิดชีวิต ดีๆในหลากหลายมิติ


1.    ขอบคุณข้าวทุกเม็ด น้ำทุกหยด อาหารทุกจานอย่างจริงใจ
2.    อย่าสวดมนต์เพื่อขอสิ่งใด นอกจาก “ปัญญา” และ “ความกล้าหาญ”
3.   “เพื่อนใหม่” คือของขวัญที่ให้กับตัวเอง ส่วน  ”เพื่อนเก่า”/ “มิตร” คืออัญมณีที่นับวันจะเพิ่มคุณค่า
4.    อ่านหนังสือ ธรรมะ ปีละเล่ม
5.    ปฏิบัติต่อคนอื่นเช่นเดียวกับที่ต้องการให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อเรา
6.    พูดคำว่า “ขอบคุณ” ให้มากๆ
7.    รักษา “ความลับ” ให้เป็น
8.    ประเมินคุณค่าของการให้ “อภัย” ให้สูง
9.    ฟังให้มากแล้วจะได้คู่สนทนาที่ดี
10.  ยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง หากมีใครตำหนิ และรู้แก่ใจว่าเป็นจริง
11.  หากล้มลง จงอย่ากลัวกับการลุกขึ้นใหม่
12.  เมื่อเผชิญหน้ากับงานหนักคิดเสมอว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะล้มเหลว
13.  อย่าถกเถียงธุรกิจภายในลิฟต์
14.  ใช้บัตรเครดิตเพื่อความสะดวก อย่าใช้เพื่อก่อหนี้สิน
15.  อย่าหยิ่งหากจะกล่าวว่า “ขอโทษ”
16.  อย่าอายหากจะบอกใครว่า “ไม่รู้”
17.  ระยะทางนับพันกิโลเมตร แน่นอนมันไม่ราบรื่นตลอดทาง
18.  เมื่อไม่มีใครเกิดมาแล้ววิ่งได้ จึงควรทำสิ่งต่างๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป
19.  การประหยัดเป็นบ่อเกิดแห่งความร่ำรวยเป็นต้นทางแห่งความไม่ประมาท
20.  คนไม่รักเงิน คือคนไม่รักชีวิต ไม่รักอนาคต
21.  ยามทะเลาะกัน ผู้ที่เงียบก่อน คือ ผู้ที่มีการอบรมสั่งสอนที่ดี
22.  ชีวิตนี้ฉันไม่เคยได้ทำงานเลยสักวัน ทุกวันเป็นวันสนุกหมด
23.  จงใช้จุดแข็ง อย่าเอาชนะจุดอ่อน
24.  เป็นหน้าที่ของเราที่จะพูดให้คนอื่นเข้าใจไม่ใช่หน้าที่ของคนอื่นที่จะทำความเข้าใจใน  สิ่งที่ เราพูด
25.  เหรียญเดียวมี 2 หน้า ความสำเร็จ กับ ล้มเหลว
26.  อย่าตามใจตัวเอง เรื่องยุ่งๆ เกิดขึ้นล้วนตามใจตัวเองทั้งสิ้น
27.  ฟันร่วงเพราะมันแข็ง ส่วนลิ้นยังอยู่เพราะมันอ่อน
28.  อย่าดึงต้นกล้าให้โตไวๆ (อย่าใจร้อน)
29.  ระลึกถึงความตายวันละ 3 ครั้ง ชีวิตจะมีสุข มีอภัย มีให้
30.  ถ้าติดกระดุมเม็ดแรกผิด กระดุมเม็ดต่อๆไปก็ผิดหมด
31.  ทุกชิ้นงานจะต้องกำหนดวันเวลาแล้วเสร็จ
32.  จงเป็นน้ำครึ่งแก้วตลอดชีวิต เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมได้ตลอด
33.  ดาวและเดือนที่อยู่สูงอยากได้ต้องปีน “บันไดสูง”
34.  มนุษย์ทุกคนมีชิ้นงานมากมายในชีวิต จงทำชิ้นงานที่สำคัญที่สุดก่อนเสมอ
35.  หนังสือเป็นศูนย์รวมปัญญาของโลก จงอ่านหนังสือเดือนละเล่ม
36.  ระเบียบวินัย คือ คุณสมบัติที่สำคัญในการดำเนินชีวิต
.
ข้อคิดดีๆ2
ไม่ว่าคุณจะร่ำรวย หรือ ยากจน คุณก็ต้องการคนที่พูดดีกับคุณ ดังนั้นไม่ว่าเขาจะยากจน หรือ ร่ำรวยก็ต้องการการพูดที่ดีเช่นเดียวกัน การจะขึ้นที่สูงให้ได้เหนื่อยน้อยที่สุด คือ การเดินขึ้นไปกับปัจจุบันโดยไม่นึกถึงยอดเขา
การให้อภัยย่อมดีกว่าการจองเวณเสมอ
ไปถึงก่อนเวลา 15 นาที ดีกว่าไปสาย 15 นาทีแน่นอน
ผู้หญิงสวยและหนุ่มหล่อไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นคนดี คนหน้าตาซื่อ ๆ อาจจะไม่ใช่คนที่ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม จงใช้เวลาบวกกับความรู้สึกพิจารณาคน มากกว่าการใช้อารมณ์และความรู้สึก
ไม่จำเป็นเสมอไปที่ลูกชิ้นหนึ่งไม้จะกินได้คนเดียว คนที่มีน้ำใจย่อมรู้จักให้มากกว่ารับ
เสื้อผ้าที่สวมใส่ไม่ได้บอกว่าคุณเป็นคนดี มันบอกได้แค่ว่าคุณแต่งตัวดีเท่านั้น
แก้วน้ำที่เต็มไม่อาจรับน้ำเพิ่มได้ คนที่ไม่รู้จักเปิดใจก็ไม่อาจเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ได้เช่นเดียวกัน
แม้คนที่คิดการใหญ่จะต้องมองไกล แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องละเลยสิ่งที่คุณเคยเป็นและตัวตนของคุณ
แม้นกจะบินสูงและมองได้กว้างไกล ก็ไม่ได้แปลว่าเมื่อมองใกล้แล้วจะดีกว่าสัตว์ใด
เรื่องเศร้าในวันนี้ จะเป็นพลังและกำลังให้กับเราในวันที่เราสามารถเดินผ่านมัน
ความรู้ไม่ใช่หินต้องแบกหามมีเยอะเท่าไรยิ่งดี
ความทุกข์ไม่ได้อยู่กับเราตลอดชีวิต จะมีชีวิตเพื่อแบกทุกข์ไปเพื่ออะไร
น้ำตามีไว้สำหรับคนที่อ่อนแอเท่านั้น
มันไม่สำคัญว่าเราจะทำสำเร็จหรือไม่ แต่มันอยู่ที่ว่าเราได้ทำเต็มที่แล้วหรือยัง
***********************************************************
ข้อคิดดี ๆ ที่จะนำชีวิตไปสู่ความสำเร็จ 3
คนเราทุกคนก็หวังที่จะประสบความสำเร็จด้วยกันทั้งนั้น แต่เส้นทางที่จะประสบความสำเร็จนั้นก็แตกต่างกันไปตามแนวทางและแนวความคิดของแต่ละบุคคล และเชื่อว่าคนที่ประสบความสำเร็จทุก ๆ คนจะต้องมีข้อคิดอะไรบางอย่างที่เป็นตัวกระตุ้นเตือนใจอย่างแน่นอน
ความมหัศจรรย์หลายอย่างที่เกิดขึ้นในโลกนี้…
เริ่มต้นมาจากฝันกลางวันของคนบางคนนี้แหละ…
หนังสือดีเพียงเล่มเดียว….
สามารถเปลียนชีวิตคนได้….
ความคิดดีๆ…เพียงความคิดเดียว…
สามารถสร้างแรงบันดาลใจ
ให้เด็กวัด..กำพร้า…อดอยากยากจนขนาดต้องแย่งหมากิน…
ทะยานสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้….
เรา…ไม่สามารถรู้ได้ว่า…เราจะบินได้สูงแค่ไหน…
จนกว่าเราจะ…กางปีก…แล้วบิน…
ตราบใดที่คุณยังไม่ลงมือทำ…
อย่าเชื่อว่าคุณทำไม่ได้…
จากประวัติของคนที่ประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ทุกคน…
มีหัวใจของความสำเร็จเหมือนกัน 2 ประการคือ….
เขา…ชนะใจตนเอง….
เขา…ให้ความสำคัญเรื่องวินัย…เป็นอันดับหนึ่ง….
คนที่ประสบผลสำเร็จ….
ไม่ใช่อยู่ที่แรงถึง….
แต่อยู่ที่…มีความตั้งใจแน่วแน่…ไม่เปลียนแปลง
ผู้ที่ประสบความสำเร็จ
ไม่ใช่เก่ง…
แต่ต้องอึดด้วย
ชัยชนะ..เป็นของคนที่….อึดที่สุด…
ความสำเร็จ…เกิดจาก…
อัจฉริยะ1 ส่วน
ที่เหลือ 9 ส่วน…เกิดจาก….
หยาดเหงื่อ…แรงงาน…และน้ำตาล้วนๆ…
ความยากลำบาก…เป็นมหาลัยชั้นสูง…
ในการฝึก…ยอดคน
ความสำเร็จ…เกิดจากความยากลำบาก…
ไม่มีความสำเร็จใด..ตกมาจากฟากฟ้า…
ไม่มีชัยชนะใด…ได้มาโดยไม่ต้องต่อสู้…
ไม่มีความสำเร็จใด…ได้มา…โดยไม่ต้องลงแรง
ความสำเร็จ…เกิดจาก..การลงมือทำ…
ไม่ใช่แรงอธิษฐาน…
ความสำเร็จ…มันอยู่ไกล..เกินไปถึง….
กับคนซึ่ง…นั่งหงอย…และคอยหา…
ความสำเร็จ…จะมาอยู่…แค่ปลายตา…
กับคนที่…คิดว่า…ต้อพยายาม…
เกิดในที่…ที่ดี…นั้นดีแน่…
เกิดในที่…ที่แย่…ก็ดีได้…
เกิดที่ดี…แล้วแย่…มีถมไป….
เกิดที่ไหน…ก็ดีได้…ถ้าใฝ่ดี…
ผลลัพธ์แห่ง..ความสำเร็จ….
ยิ่งใหญ่เกินกว่า…ที่ตามองเห็น….
คนที่จะประสบความสำเร็จ….
ต้องมีเป้าหมายในชีวิต…
ผู้ที่ปฎิเสธ…ไม่ทำตามความฝัน….
จะไม่มีทางประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้…
อดีต…ไม่สำคัญ…ว่าเราเคยเป็นใคร…
แต่สิ่งสำคัญ..มันอยู่ที่ว่า…
วันนี้…เราจะเป็นใคร…?
และวันพรุ่งนี้..เราต้องการความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่แค่ไหน….
คนที่ชอบทำงานง่ายๆๆ…
จะเป็นได้แค่ลูกจ๊อกเขา…ตลอดชีวิต…
ผลงานล้ำค่า…ที่อุบัติขึ้นในโลกนี้…
ล้วนเกิดจากมือ…ของคนที่ชอบทำงานหนัก…
คนที่ประสบความสำเร็จ…
ไม่ใช่แค่เป็นนักฝัน…
แต่เขาเริ่มด้วยการ…ลงมือทำ…
เอาแต่พูด…เอาแต่ท่องทฤษฎี..ไม่ลงมือปฏิบัติ…
ไม่มีทาง…ประสบความสำเร็จ
ความสำเร็จเริ่มต้นเมื่อ…
คุณเชื่อว่า…คุณทำได้…
จุดอ่อนของคนที่…ไม่ประสบความสำเร็จคือ…
การยอมแพ้…
คนที่ประสบความสำเร็จ
พยายามอีกครั้ง…เสมอ…
ความรับผิดชอบ…ทำให้…งานออกมาดี…
ความรัก…ทำให้…งานออกมา…สวย…
เป้าหมาย..ทำให้…สำเร็จ…โดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย…
สาเหตุที่ทำให้คุณเห็นว่า…
อุปสรรค..เป็นเรื่องน่ากลัว…
เพราะ…คุณละสายตา…จากเป้าหมา
แหล่งที่มาจากกระทู้ใน THAISEOBOARD  ผู้เผยแพร่ :คุณ adsene5438
ขอบคุณ ภาพและบทความจาก FWD:
.

10 สุดยอดภาพลวงตา


10. เชื่อหรือไม่ว่า สองภาพนี้เป็นภาพเดียวกัน
9.จุดสีชมพูทั้งหมดเป็นสีเดียวกัน ไม่น่าเชื่อจริงๆ
8. ลองมองภาพนี้ สามสิบวินาที แล้วลองมอง แผ่นกระดาษ หรือ ผนังขาวๆ ดู
7. เล็งที่จุดตรงกลางภาพแล้ว เลื่อนหัว เข้า ออก จากภาพดู วงรอบๆที่สองจะหมุนสวนกัน
6. เชื่อหรือไม่ว่า สี่เหลี่ยมด้านล่างนี้ประกอบทั้งหมดด้วยเส้นตรง ไม่เชื่อลองเอาไม้บรรทัดทาบดูเลย
5. อันนี้แปลกมากจริง เชื่อไหมว่า แถบสี ฟ้ากับสีเขียวในภาพ ที่จริงแล้วมันเป็นสีเดียวกัน
4. ภาพนี้ค่อยๆ เลื่อนหัวเรา  ออกจากจอไปเรื่อย แล้วจะมองออก ว่ามีรูปซ่อนอยู่
3. เส้นตรางหมากรุกนี้ เส้นมันเอียงไป เอียงมา ลองเอาไม้บรรทัดทาบ ดูซิ แล้วจะอึ่ง
2. ลองมองเหลือบไปทางซ้าย-ขวา ภาพนี้ก็ขยับ เจ๋ง อ่ะ..
อันดับที่ 1 บอกไปก็ไม่เชื่อหรอกว่า ปีศาจทั้งสองตัวขนาดเท่ากัน
.

อาหารโหดๆ แปลกๆพิศดาร


ได้รับบทความนี้มาจาก FWD: เห็นว่ามีอยู่จริงและโหดจริง   ทรมานจริง เลยเอามาลงให้ดูกันประดับความรู้ เพื่อทราบว่า คนนี้ละ กินโหดที่ซู๊ดดด ในโลก
1. ปลาหยิงหยาง(Yin Yang Fish)
เป็นอาหารจากประเทศจีน วิธีทำคือจุ่มปลาเป็นใส่ลงไปในน้ำมัน และที่ทอดขณะมันมีชีวิตอยู่ โดยคนจีนเชื่อว่าการทานอาหารชนิดนี้ถือว่าเป็นเป็นยาชูกำลัง คนครัวจะใช้ผ้าเย็นที่แช่เย็นจัดพันส่วนหัวจนถึงพุงปลา และถือมันจากนั้นก็เอาส่วนหางของปลาจุ่มลงในน้ำมันร้อนเดือด ก่อนที่จะไหลส่วนตัวลงทอดตามลำดับ เหลือแต่ส่วนหัวไว้(ทอดครึ่งตัว) ซึ่งในจุดนี้ปลายังคงมีชีวิตอยู่ ซึ่งเป็นภาพที่หวาดเสียวมาก เพราะปลาจะดิ้นตลอดเวลาด้วยความเจ็บปวด ถ้ามันพูดภาษาคนได้มันคงพูดว่า “ร้อน….โว้ย” ซึ่งขั้นตอนนี้จะต้องใช้คีมคีบที่หัวปลาเอาไว้ไม่ให้ดิ้น รอจนเนื้อปลาสุกเป็นสีเหลือง ก็ยกขึ้นนำมา วางบนจานแต่งและราดน้ำซอสเครื่องเคียง ยกเสิร์ฟโดยครึ่งบนปลายังเป็นๆ อยู่ ปลายังคงอ้าปากพะงาบๆ ครีบยังกระดิกได้ แต่ครึ่งล่างทอดจนสุกสามารถกินได้ เป็นอันเสร็จพิธีสูตรลับอาหารโบราณ
2.อิคคีซึคุ ริ (Ikizukuri)
ถ้าคุณกำลังคิดว่าญี่ปุ่นเป็น ประเทศ ที่มีวัฒนธรรมที่ยาวนาน มีประเพณีที่แสนงดงาม คุณอาจคิดผิดก็ได้เพราะความโหดร้ายมักแฝงรูปของอาหารเสมอ โดยเฉพาะอาหารที่ชื่อ Ikizukuri แม้ชื่อออกจะน่ารัก แต่ทันที่คุณเห็นมัน โอ้!! มันน่ากลัวเหลือเกิน จนพูดไม่ออก…….. อิคคีซึคุริ (Ikizukuri) มีความหมายว่า “ตระเตรียมขณะที่กำลังมีชีวิตอยู่” เป็นอาหารปลาที่ซึ่งแล่บางๆ และบริโภคทันทีจากปลาซึ่งยังชีวิตอยู่ วิธี การทำก็เริ่มจากเลือกปลาสำหรับนำฆ่า จากนั้นคนครัวที่มีความชำนาญมีดระดับเมตริกซ์ จะผ่าท้องปลาในขณะเป็นๆ เพื่อความสด ลากไส้พุงออกบางส่วน จากนั้นเขาก็แล่เนื้อปลาเป็นชิ้นบางๆ จนเหลือแต่หัวกับก้าง โดยไม่ฆ่ามัน จากนั้นก็จัดแต่งสวยงาม ขั้นตอนทังหมดนี้ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น และเสริฟ์ดั่งภาพ เวลาคุณกินอาหารนี้คุณอาจได้ยินเสียงหัวใจของมันเต้นตุ้บๆ และเห็นจังหวะการเต้น เหงือกปลายังคงการทำงาน พยายามหอบหาอากาศหายใจ ตาของมันขยับไปมาเวลาคุณหยิบเนื้อของมันมากิน
3.ออโต้ลีน ( Ortolan)
นก ortolan เป็นนกป่าน่ารักตัวเล็กๆ ร้องเพลงไพเราะ ตัวประมาณหกนิ้วยาว หนักประมาณสี่ออนซ์ แต่คนฝรั่งเศสเห็นนกนั้นเป็นอาหารมากกว่าสัตว์เลี้ยง แถมวิธีทำนั้นก็แสนที่คนรักนกรับไม่ได้!! (อาหารชนิดนี้มีต้นกำเนิดมาจากพระที่ชื่อ Jean Anthelme Brillat-Savarin ได้คิดสูตรอาหารเพื่อซ่อนความตะกละของเขา)  เคล็ดลับการทำอาหารจาก Ortolan (มีชื่อเต็มๆ คือ Ortolan au Mitterrand) เริ่มจากการจับนกและทำให้ตามันบอดโดยใช้ที่ปากคีบ และใส่ในกรงแคบๆ เพื่อไม่ให้หนี เก็บมันไว้แล้วขุนอาหารด้วยข้าวเดือย, องุ่น และพืชจำพวกFicus จนมันมีขนาดตัวเกินประมาณ 4 เท่าของขนาดมันแล้ว ก็นำไปทรมานโดยจุ่มลวกเป็นๆ กินทั้งตัว(ดูจากภาพจะเห็นว่าเขาผ่าท้องเพื่อล้างกระเพาะขี้ ไส้ของมัน) เวลามันโดนน้ำร้อนลวกดิ้นทุรนทุรายก็อย่าสนใจมัน ปล่อยมันตายคาน้ำเดือดซะ ก็จะได้อาหารที่โครตสด ที่ชื่อ Ortolan กินกับเหล้าบรั่นดีเป็นอันเสร็จพิธี  แต่ความสนุกของอาหารชนิด นี้คือการที่คุณจะต้องกินมันทั้งตัว และเมื่อนกอยู่ในปากของคุณคุณก็ต้องเคี้ยวเนื้อทั้งหมดไม่ว่าจงอยปาก หัวของมัน ฟันที่กัดผ่านกระดูกเล็กๆ เสียงกร็อบๆ และฉากสุดท้ายคือนกตัวนั้นได้ไปอยู่กระเพาะอาหารของคุณซะแล้ว
4.ฟัวกราส์ ( Foie Gras)
ฟัวกราส์(Foie Gras) เป็นตับห่านหรือเป็ดที่ถูกเลี้ยงให้อ้วนจนตับมีขนาดใหญ่กว่าตับธรรมดาหลาย เท่า มีลักษณะนุ่มมันและมีรสชาติอร่อยแทบละลายในปาก  แน่นอนการทำที่ได้ ฟัวกราส์ เขาคงไม่ไม่ปล่อยเป็ด(ห่าน)เดินเล่นสนุกสนานๆ แน่ พวกนั้นจะถูกขังในแดนหรรษาที่แคบและมืดจนไม่สามารถเดินไปไหนมาไหนได้ ชีวิตของมันแต่ละวันจะหมดไปกับการกินๆ เท่านั้น กินลูกเดียว กินหัวอาหารพิเศษที่ทำให้ตับทำงานหนัก และเมื่อห่านกินไม่ไหวคนเลี้ยงก็จับห่านบีบคอกรอกอาหารด้วยหลอด(ท่อ)ใส่ อาหารโดยไม่สนว่ามันจะกินอิ่มหรือเปล่า(วันละ 2-3 ครั้ง) และ เมื่อได้ระยะที่ต้องการก็นำมาฆ่า ผ่าท้องก็จะได้ตับห่านสีขาว (หรือตับเป็ด) ที่มีขนาดโตผิดปกติ  เราคงคิดว่าเรื่องเหล่านี้เป็น การ์ตูนละก็ ผิดถนัด และบทสรุปนั้นเลวร้ายกว่ามาก ใช่ว่าห่านบางตัวจะสามารถผลิตฟัวกราส์ ได้ หลายตัวมักตายในขณะที่ขุน เช่นท้องแตกตาย ตูดพัง ปากฉีก ฯลฯ มันอาจจะดูทารุณเล็กน้อย แต่เพื่อปากของผุ้บริโภคและเงินมันก็ต้องทำแบบนี้แหละ
5.โดะโจ โทฟุ Dojo Tofu
ในตะวันตกเลือกอาหารจานนี้ว่า “หม้อนรก” แต่สำหรับญี่ปุ่นแล้วมันเป็นอาหารละเอียดอ่อนที่มีประวัติและตำนานมายาวนาน ซึ่งเป็นอาหารเต้าหู้ต้นตำหรับของเมืองจุ่งหนานในประเทศจีนโบราณที่ทำจากปลา โดะโจ (Dojo) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งมีขนาดเล็กลักษณะคล้ายปลาไหล ซึ่งนิยมกินกันในหมู่คนชั้นสูงและคนทำงาน เพราะมันได้พลัง (โดะโจ โทฟุมีอีกชื่อหนึ่งคือหม้อไฟยานางิกาวะ ซึ่งที่มาของชื่อนั้นมาจากร้านอาหารที่ทำอาหารชนิดนี้ในสมัยโอโดะนั้นเอง)  เคล็ดลับในการทำก็คล้ายๆ กับต้มเปรตบ้านเราแหละ เริ่มจากต้มน้ำซุปให้เดือด และใส่เต้าหู้ก้อนใหญ่ๆ และเอาปลาโดะโจตัวเป็นๆ หลายๆ ตัว ใส่ลงหม้อ เมื่อน้ำในหม้อร้อนปลาโดะโจจะดิ้นรนหนีตายจากน้ำที่เดือดนั้นโดยมุดเข้าหา ที่เย็นๆ นั้นคือเต้าหู้โดยเริ่มจากส่วนหัวซึ่งเมื่อมุดเข้าไปจะยากออกมาได้ จนกระทั้งมันตายคาเต้าหู้ทำให้สารอาหารจากตัวปลาจะซึมเข้าไปในตัวเนื้อ เต้าหู้ จากนั้นก็ปรุงด้วยไข่และพริกไทยและต้มต่อไปจนมีกลิ่นหอม  อาหารชนิดนี้ปัจจุบันมักถูกนำไปใช้เป็นข้อมูลอาหารในการ์ตูนญี่ปุ่น ซึ่งเห็นได้ว่าวัฒนธรรมนี้มันได้กลายเป็นเรื่องปกติเสียแล้ว
6.เฟง กัน จี (Feng Gan Ji)
ฟง กัน จี (Feng Gan Ji) อาหารจากประเทศจีนและทิเบต มีความหมายว่า ‘ไก่ตาก-ลม’ สิ่งที่คุณจำเป็นต้องใช้สำหรับเมนูนี้มีด้วยกันสี่อย่าง ได้แก่ ไก่เป็นๆหนึ่งตัว มีดคมๆซักเล่ม เชฟผู้มีฝีมือและสุดท้าย จิตใจที่ดำและเย็นชาราวกับไม่มีชีวิตที่สุด จำฉากหนึ่งในหนังแบทแมนภาค the Dark Knight ได้ไหม?? ฉากที่ตัวตลกเย็บระเบิดใส่ในท้องของลูกน้องตัวเอง เมนูนี้ก็เป็นประมาณนั้นแหละ แต่ต่างกันแค่ตรงที่เชฟจะใช้เครื่องปรุง พริก สมุนไพรหรือส่วนผสมลับอะไรก็ตามแต่ ควักไส้สดๆออกมา ยัดส่วนผสมเข้าไป แล้วก็เย็บกลับคืน จากนั้นก็แขวนมันไว้ให้ลมพัดให้มันแห้ง แน่นอนตอนที่ผ่าท้องไก่ยัดใส่ไก่ จะทำในขณะที่ไก่ยังเป็นๆ ไม่ได้ฆ่าก่อนผ่าท้องแต่อย่างใด..  ไก่จะสนุกกับการร้องกะต๊ากๆซึ่งคล้ายกับเสียงตะโกน สาปแช่งมาในสายลมว่า “เพื่อความรักของพระเจ้า พวกแกทำแบบนี้กับพวกเราทำไม!?” ในวินาทีอันแสนสั้นแห่งความเจ็บปวดหลังถูทรมาน พวกมันดิ้นรนเพื่อที่จะดูพวกของมันถูกชำแหละตามกันมาด้วยการถูกทรมานในแบบ เดียวกับที่มันเคยเผชิญ และเมื่อพวกมันส่งเสียงกรีดร้องครั้งสุดท้าย สิ่งที่มันจะได้พบก็คือ ซากไส้ของมันเอง และเพื่อนพี่น้องของมันที่กำลังถูกทรมานอย่างทารุณ…….
7.เฟรช ดันคี ( Fresh Donkey)
และอาหารอันดับหนึ่งมาจากประเทศจีน มันอาจไม่โหดเท่ากินเนื้อคนปากัวนิกีนี แต่มันได้ใจผมครับ เรื่องของเรื่องคือ เนื้อลา ลา เป็นสัตว์ที่ลงความเห็นว่ารับประทานได้ เนื้อลาเป็นที่นิยมในประเทศจีน หาได้ทั่วไปเหมือนเนื้อหมูและเนื้อวัว และมีหลายเมนูด้วยกัน แต่ที่เราขอแนะนำต่อไปนี้คือ Huo Jia Lu (แปลว่า “ลาสด”) อาหารที่มีต้นกำเนิดมาจากตำนานจีนที่แสนยิ่งใหญ่
อย่างที่บอกเมนูนี้ เขียนว่าลาสด แน่นอนวิธีทำก็ต้องเอาลาเป็นๆ และจากนั้นก็สัตว์มัดขาให้อยู่กลับที่ไม่ให้ไปใน(ดูภาพประกอบ) และร่างของมันจะถูกควบคุมโดยทีมผู้ทรมานหรือที่เรียกกันว่า “พ่อครัว” เขาตัดเนื้อส่วนที่นุ่มๆ แล้วเสิร์ฟมันทันทีให้ผู้รับประทาน ผู้กินมันท่ามกลางเสียร้องหันโหยหวนของลา  คุณจำเป็นต้องยอมรับมันให้ได้ ดูเหมือนว่าอาหารนี้จะทำง่ายที่สุดในโลกยิ่งกว่าไข่ดาวเสียอีก เพียงแค่ส่วนผสมคือลาเป็นๆ และวิธีการเตรียมก็คือ การรอกินเนื้อลา.. และต้องยอมรับว่านี้คือเรื่องจริง!!
อีกเมนูหนึ่งที่เราขอแนะนำคือ Jiao Lu Rou (แปลว่า “เนื้อลาน้ำ”) ผู้ชำแหละจะแล่หนังของลา แล้วราดน้ำเดือดลงสู่เนื้อสดๆ จนมันสุก แล้วเค้าก็หยิบมีดของเค้า จากนั้นก็.. โอ้ว.. เราพูดต่อไม่ได้แล้วล่ะ ตราบใดที่เจ้าอียอร์ของเรายังนั่งอยู่ตรงนี้!!!(อียอร์เพื่อนของหมีพูว์เป็น ตัวละครในวอลดีย์นี่
เพิ่มเติม เมนูโหดของ อื่นๆ
เกาหลีมีเมนู กินปลาหมึก เป็นๆ
กินปลาไหลป็นๆ
ของไทนเราก็มีนะ
ปลาไหลต้มเปรต
แค่ชื่อก็ชวนสยองแล้ว อาหารชนิดนี้เป็นตำรับอีสาน ความจริงไม่จำเป็นเฉพาะปลาไหลเท่านั้น สัตว์อย่างอื่นก็นำมาต้มเปรตได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นจิ้งจก ตุ๊กแก หรืออะไรที่คิดได้ คือการนำเอาสัตว์เป็นๆ (ทำความสะอาดแล้ว) หย่อนลงในหม้อที่ปรุงรสเรียบร้อย พอสัตว์ที่ต้องการต้มเปรตถูกน้ำแกงที่เดือดพล่าน มันก็จะพยายามชูคอตัวเองให้พ้นน้ำร้อน ลักษณะเหมือนเปรต ยิ่งเป็นปลาไหลยิ่งเหมือน อาหารชนิดนี้ช่วยให้คนที่ไม่เคยเห็นเปรต ได้เห็นภาพลางๆ ก่อนไปพบตัวจริงที่จริง ที่นรก (อ๊ะ… ไม่ได้แช่งนะ)
ไก่กระบอกจะเริ่มจากนำลูกเจี๊ยบตัวเล็กๆ มาเลี้ยงในกระบอกไม้ไผ่ นำอาหารและน้ำมาป้อนตามปกติแต่ไม่ให้ไก่ออกไปไหนเลย เราก็จะได้ไก่ตัวยาวๆ ขาสั้นๆ แต่เดินไม่ได้ภายในตัวไก่ก็จะเป็นกระดูกอ่อน หลังจากไก่โตพอสมควรก็นำกระบอกมาปิ้งหรือย่างกันสดๆเลยล่ะ
กุ้งเต้น
หรืออื่นๆ เต้น คือการนำเอาสัตว์เป็นๆ มาทำความสะอาดแล้วบีบมะนาวให้เต้นตายกันไปต่อหน้าต่อตา ควรจะเป็นสัตว์เล็กมากกว่า เพราะลองนึกภาพควายเต้น หรือหมูเต้น กว่าจะบีบมะนาวให้มันตายกันสดๆ คงเปลืองมะนาวน่าดู
มโนราห์ลุยไฟ  คือการใช้ตะกวด (นั่นแหละ… คุณไม่ได้อ่านผิดหรือสาวปรู๊ฟที่นี่ผิด) เป็นๆ โยนเข้ากองไฟที่กำลังลุกโชน มันก็จะร้อนและลนลานหนีตายออกมา อย่าย่อท้อ โยนมันเข้าไปอีก จนกว่าตะกวดจะตาย อาหารชนิดนี้ต้องใช้คนหลายคน เพื่อต้อนตะกวดโยนใส่ไฟ หากจะจัดเป็นการละเล่นแค้มป์ไฟอีกอย่างก็ได้ อาหารชนิดนี้เป็นอาหารปักษ์ใต้ ถ้ามาอยู่ภาคกลาง อาจเปลี่ยนชื่อได้เป็น สีดาลุยไฟ ถ้าจะให้ทันสมัยอาจเป็น พจมานลุยไฟ หรืออีสาลุยไฟ ก็ได้เช่นกัน แล้วแต่ความนิยม
ลูกกรอก
ไม่โหดขนาดกินลูกคนในท้อง และก็เป็นคนละลูกกรอกกับที่ขุนแผนแสนเสน่ห์ ผ่าเอาลูกออกจากท้องนางพรายก่อนคลอด มาทำลูกกรอก หรือรัก-ยมในหนังทีวีเรื่องลูกกรอก แต่เป็นชื่ออาหารชนิดหนึ่งที่ใช้กะทิปรุงรส แล้วนำลูกปลาตัวเล็กๆ ย้ำคำว่า ‘เป็นๆ’ คือยังไม่ตาย โยนลงหม้อกะทิพร้อมกับเร่งไฟให้ร้อนขึ้น และใส่ผักบุ้งหั่นเป็นข้อๆ ควรจะเป็นปล้องที่สามารถให้ปลาน้อยหนีตาย หลบร้อนไปพึ่งเย็นในผักได้ นั่นและเมื่อกะทิเดือดก็จะเข้าไปนอนตายสนิทในผักบุ้ง กลายเป็นผักบุ้งยัดไส้หอมหวาน ชวนรับประทานยิ่ง… โหด เลวดีไหมล่ะ
ปรุงรสเป็นๆ
วิสัญญีแพทย์ ที่หมายความว่า หมอวางยาสลบนั่นแหละ แต่นี่เก่งกว่าเสียอีก เป็นการวางยาให้สัตว์ที่เลือกใช้ตายเลยทีเดียว โดยการนำลูกหมู แพะ หรือวัว มาฉีดเครื่องเทศเข้าสู่เส้นเลือดทั่วร่างกาย มันก็จะตาย แล้วจึงนำมาประกอบอาหาร เนื้อก็จะหอมหวาน น่ารับประทานยิ่งอีกชนิดหนึ่ง
น้ำปลาลูกหมาเริ่มจากนำลูกหมาตัวเล็กๆมาใส่ตุ่มโรยเกลือให้ทั่วแล้วปิดฝาทิ้งไว้เกือบวันนำหมาตากแดด แล้วลอกหนัง ( มาถึงขั้นนี้หมาบางตัวก็ตาย บางตัวก็ไม่ตาย จากนั้นก็นำหมาเปลือยๆใส่ในตุ่มโรยเกลือแล้วในน้ำอะไรสักอย่างลงไป แล้วปิดฝาตุ่มด้วยหนังหมานั่นแหละพอได้ที่ตามกรรมวิธีทำน้ำปลาทั่วไปเราก็จะได้น้ำปลาลูกหมา
๒. ประเภทตายผ่อนส่ง
คำนี้ได้ยินบ่อยๆ ในเมืองหลวง แต่อย่าไปสนใจเลย มาดูอาหารโหด สัตว์ตายผ่อนส่งกันดีกว่า คือสัตว์ที่นำมาปรุงอาหารแบบไม่ตายทันที ค่อยๆ ตาย เหมือนกับซื้อผ้า ซื้อทีวีผ่อนส่ง ที่ไม่ต้องจ่ายเงินทีเดียว เพียงแต่ค่อยๆ จ่าย
วัวนรกเนี่ยน่ากลัวนะ เค้าจะนำวัวที่โตพอควร มามัดขาแยกไว้ไม่ให้เดินไปไหน จากนั้นนำเหล้าใส่เข็มฉีดยามาฉีดให้วัวไปเรื่อยๆให้วัวทานอาหารบ้างเล็กน้อย แต่จะหนักไปทาง ฉีดเหล้าให้วัว วัวจะมึนงงไม่รับรู้พอจะปรุงก็จับวัวมัดไว้แล้วย่างสดๆ วัวจะทุรนทุรายมากเค้าว่ากันว่าถ้าจะทานให้อร่อยต้องแล่เนื้อตอนที่วัวยังไม่ตายแล้วก็แล่ไปเรื่อยๆจนมันตายไปเอง
ไก่กะทิมีวิธีทำคือเลือกไก่ตัวอ้วนๆนำมาเป็นๆแล้วฝังลงในทรายไม่ให้ไก่กระดุกกระดิกไก่อยู่ในทรายก็จะเริ่มร้อนไก่จะอ้าปากระบายความร้อน ต่อจากนั้นเค้าจะเอากะทิมาป้อนให้ไก่กินป้อนไปเรื่อยๆประมาณ2-3สัปดาห์ในตัวไก่ก็จะชุ่มด้วยกะทิแล้วนำมาปรุงอาหารที่เพื่อนๆทานกันนั่นแหละ รู้อ้ะป่าว
ตีนเป็ดสะดุ้งไฟวิธีนี้เป็ดที่ใช้จะไม่ตายเลย จนกว่ามันจะไม่มีหนังตีน นำเป็ดตีนงามๆ มาหลายๆ ตัว ให้เป็นเดินย่ำเครื่องเทศเพื่อปรุงรส แล้วค่อยๆ ทยอยให้เดินบนตะแกรงร้อนๆ หนังตีนของมันก็จะติดอยู่ตามตะแกรง ผู้กินก็จะใช้ตะเกียบ คีบหนังกรอบๆ กินกันอย่างเอร็ดอร่อย ความจริงน่าจะเรียกว่า ประกวดนางงามจักรวาล เพราะตะแกรงเหมือนเวทีนางงาม และเป็ดเป็นผู้เข้าประกวด ส่วนคนกินก็คือท่านผู้ชมที่มีความรื่นรมย์ไม่แพ้กัน
สมองลิงพาเพลิน
อาหารชนิดนี้ขึ้นชื่อติดอันดับความโหดของโลก หากใครเคยดูสารคดี ก็คงเคยผ่านตา หรืออยากลิ้มลองดูบ้าง ผู้เขียนก็ไม่ทราบวิธีการปรุงที่แท้จริง เพียงแต่รู้ว่า ลิงเป็นๆ ถูกถลกหนังหัว แล้วเลื่อยกระโหลกให้เดินโชว์สมอง ให้คนตักกินอย่างเพลิดเพลินใจ จนกว่าสมองจะหมด หรือทนเห็นสมองตัวเองถูกกินต่อหน้าต่อตาไม่ได้ ก็เลยตรอมใจตาย
เต่าเปลือยหลังฟอร์โชว์
ไม่ใช่ไว้ดูแต่ไว้กิน วิธีปรุงก็ไม่ทราบอีกเช่นกัน แต่ที่แน่ๆ คือต้องใช้เต่าเป็นๆ มาเปลือยหลัง คือถอดกระดองมันออกให้เห็นเนื้อในกันจะๆ แล้วแต่ปรุงรสที่ถูกปาก ส่วนเต่าก็จะยังไม่ตายเสียทีเดียว มันจะแสบหลัง ด้วยสู้อุตส่าห์เก็บรักษา ยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมมาตั้งแต่เกิด แต่กลับถูกมนุษย์ผู้ตะกละมาถอดออก จนเจ็บช้ำน้ำใจ เมื่อมนุษย์คนหนึ่งตักกินแล้ว ก็จะหันเต่าเคราะห์ร้ายไปทางมนุษย์ผู้กินรายต่อไป ด้วยความเจ็บปวด เต่าจะเดินหนี มันจะเดินโซซัดโซเซไปทางนั้น คนกินจะตักเนื้อมันกินจนกว่ามันจะสิ้นใจตาย! อาหารโหดที่กล่าวมานี้ หากสังเกตให้ดีจะพบว่า นิยมกินกันในหมู่ชายชาตรีอกสามศอกกันเป็นส่วนใหญ่ เพราะเหมาะที่จะเป็นกับแกล้มเหล้า มากกว่าอาหารสำหรับครอบครัวน่ารักอะไรเทือกนั้น …ว่าแต่เย็นนี้แม่บ้านของคุณๆ ทำกับข้าวอะไรรอท่าอยู่ล่ะ..

วันเสาร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

คุ้กกี้เสี่ยงทาย


                              

คุ้กกี้เสี่ยงทาย (Fortune Cookie)


รายละเอียดทั่วไป:”Fortune Cookie” มีความหมายว่า “คุ้กกี้เสี่ยงทาย” (บ้างเรียกว่า”คุ้กกี้ทำนายดวง” หรือเรียก “ขนมดวงดี”ก็มี) เป็นขนมที่ทำจากแผ่นแป้งบางๆรสชาติหวานกรอบคล้ายๆคุ้กกี้ รูปร่างคล้ายพระจันทร์เสี้ยว ข้างในจะใส่กระดาษที่เขียนหมายเลขนำโชคบอกคำทำนายเอาไว้ บ้างก็เขียนคำอวยพร หรือคำคมด้วยภาษาจีนเอาไว้ด้วย คุ้กกี้เสี่ยงทายจะถูกนำมาแจกให้ลูกค้าในร้านอาหารจีนหรือภัตตาคารจีน เมื่อจบมื้ออาหารและเรียกเก็บคิดเงินขนมคุ้กกี้เสี่ยงทายจะนำมาแจกให้คุณพร้อมกับใบเสร็จ เสิร์ฟพร้อมกับผลส้มที่ฝานเป็นแผ่นบางๆพร้อมกับน้ำชาในถ้วยใบเล็กๆ คุ้กกี้เสี่ยงทายโด่งดังเป็นที่รู้จักกันไปทั่วโลกและนิยมกันมากในร้านอาหารจีนของสหรัฐอเมริกา

ที่มา:ที่มาของคุ้กกี้เสี่ยงทายไม่ใช่ขนมไหว้พระจันทร์ และที่แปลกที่สุดก็คือ คุ้กกี้เสี่ยงทายไม่ได้มีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีนและคนจีนเองก็ไม่รู้จักมัน แท้ที่จริงคุ้กกี้เสี่ยงทายเพิ่งถูกคิดขึ้นเมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 นี่เองที่ภัตตาคารจีนแห่งหนึ่งในซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย ทั้งหมดนี้ก็มาจากไอเดียที่ทำขึ้นโดยชาวอเมริกันทั้งนั้น ตัวขนมเองก็ไม่ได้มีส่วนใดที่เกี่ยวข้องกับการเลือกใช้ คำทำนาย คำคมหรือคำอวยพรที่เขียนด้วยภาษาจีน ก็มาจากการคิดสร้างสรรค์ของชาวอเมริกันที่เลือกหยิบคำที่มีความหมายดีๆมาใช้
การปฏิบัติ:กล่าวกันว่า หากคุณชื่นชอบรสชาติอาหารจีนในร้านอาหารหรือภัตตาคารจีนต่างๆ เมื่อคุณได้ลิ้มรสชาติอาหารประเภทไข่ห่อรสเลิศ ไก่โรยถั่ว หมูทอดคำโต จนกระทั่งอิ่มหนำสำราญแล้ว เมื่อถึงเวลาเช็คบิลค่าอาหาร พนักงานของร้านจะมาเสิร์ฟขนมคุ้กกี้เสี่ยงทายพร้อมด้วยแผ่นบางๆของผลส้มกับน้ำชารสกลมกล่อมหนึ่งถ้วยเล็ก มันเป็นเหมือนกับโชคชะตาชักนำให้หมายเลขและข้อความมงคลเหล่านี้มาหาตัวคุณ เมื่อคุณกัดหรือหักแผ่นคุ้กกี้ให้แตกออก ก็จะปราฎฎแผ่นกระดาษชิ้นเล็กๆซ่อนอยู่ภายในข้อความต่างๆในนั้นจะเป็นคำมงคลที่มีความหมายดีๆหรือเป็นคำคม คำอวยพร และคำทำนายดีๆที่เขียนเป็นภาษาจีน พร้อมคำแปลที่เป็นภาษาอังกฤษ ขนมคุ้กกี้เสี่ยงทายเป็นที่นิยมของชาวอเมริกัน แม้ว่ารูปร่างหน้าตาแปลกๆหรือรสชาติที่ทำจากแป้งโรยถั่วหรือเกลือ ไม่ได้มีส่วนที่ทำให้อร่อยไปมากกว่าคุ้กกี้ทั่วๆไป แต่ความสนุกอยู่ที่การลุ้นว่าข้างในจะมีคำว่าอะไรเขียนไว้มากกว่า
เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น:เมื่อเร็วๆนี้มีเรื่องฮือฮาเกี่ยวกับขนมคุ้กกี้เสี่ยงทายที่สร้างประวัติศาสตร์ให้แก่การออกสลากเสี่ยงโชคของอเมริกา นั่นคือ การออกรางวัลจากตัวเลขทั้งห้าของ U.S.Powerball Lottery งวดประจำวันที่ 30 มีนาคม ค.ศ.2005 ผลปรากฎว่า มีผู้แทงหมายเลข 22,28,32,33 และ39 ถูกถึง 110 คน (แม้ว่ารางวัลใหญ่สุดของเลขตัวที่ 6 ซึ่งเป็นตัวเลขสุดท้าย จะพลาดไปอย่างน่าเสียดาย) เรื่องนี้สร้างความประหลาดใจให้กับเจ้าหน้าที่ของสำนักงานสลากมาก จึงได้ทำการสอบถามถึงที่มาของผู้โชคดีทั้ง 110 คน ที่ได้เงินรางวัลไปตั้งแต่ 100,000 จนถึง 500,000 เหรียญสหรัฐฯ ผลปรากฎว่าผู้โชคดีทั้งหมดล้วนแต่เลือกแทงสลากจากหมายเลขบน “ขนมคุ้กกี้เสี่ยงทาย” ที่ได้รับจากภัตตาคารจีนในนิวยอร์ก และคุ้กกี้เสี่ยงทายทั้งหมดนี้ก็ล้วนแต่ผลิตมาจากบริษัทวอนตอนฟู้ด ซึ่งมีโรงงานอยู่ที่เมืองควีนส์ รัฐนิวยอร์ก ทั้งสิ้น!

ที่มา มหัศจรรย์แห่งสัญลักษณ์ เครื่องรางและเคล็ดลับนำโชค

วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เครื่องหมาย ( C ) ( R ) ( TM ) คือ???

              


(C) = copyright 
(R) = Registered 
(TM) = Trade Mark 
Copyright คือลิขสิทธิ์ ใช้กับงานสร้างสรรทุกประเภท ได้รับความคุ้มครองทันทีที่สร้างขึ้นโดยไม่ต้องจดทะเบียน 

Trademark คือเครื่องหมายการค้า ได้แก่ คำ หรือรูปภาพ ที่แสดงความเป็นตัวตน เป็น subset ของลิขสิทธิ์ชนิดหนึ่ง 

Registered Trademark คือ Trademark ที่ได้จดทะเบียนไว้กับ U.S.Patent แล้ว (จดหรือไม่จดก็ได้แต่จดแล้วจะดีกว่าเพราะมีหลักฐานในชั้นศาล) 

จริงๆ แล้ว Trademark ไม่เกี่ยวอะไรกับ Copyright 
และ Registered Trademark ไม่เกี่ยวอะไรกับ Patent 
แต่มักจะใช้คู่กัน 

วันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

มอหินขาว สโตนเฮนจ์เมืองไทย


มอหินขาว บ้านวังคำแคน ต.ท่าหินโงม อ.เมือง จ.ชัยภูมิ ตั้งอยู่ในเขต อุทยานแห่งชาติภูแลนคา มีทุ่งหินประหลาดขนาดยักษ์ท่ามกลางท้องทุ่งมากมายหลายก้อนตั้งโดดเด่นอยู่ หลายๆคนยกให้ทุ่งหินยักษ์นี้เป็น“สโตนเฮนจ์เมืองไทย” ในขณะที่ชาวบ้านแถวนั้นเรียกขานทุ่งหินขนาดยักษ์ว่า “มอหินขาว” ด้วยเอกลักษณ์ความสวยงาม เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ที่สรรสร้างหินรูปทรงแปลกๆ ดุจดังสโตนเฮ้นจ์เมืองไทย สูงจากผิวดินประมาณ 12 เมตร โดยเสาแต่ละต้นมีขนาดใหญ่รูปร่างแตกต่างกันออกไป เสาหินบางต้นมีชาวบ้านนำพระพุทธรูปไปประดิษฐานไว้ที่ด้านล่างเพื่อให้ผู้ที่ผ่านไปผ่านมาสักการบูชา โดยจะมีหินทรายก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งเป็นสีขาวและโดดเด่นในพื้นที่ และเป็นที่มาของคำว่า มอหินขาว บ้างก็เชื่อกันว่าในทุกคืนวันพระจะมีแสงสีขาวส่องขึ้นมาบริเวณก้อนหินใหญ่ 5 ก้อน คนเฒ่าคนแก่สมัยนั้นเลยเรียกที่นี่ว่ามอหินขาว ด้วยความแปลกตาด้วยแท่งหินขนาดยักษ์ 5 ต้นตั้งเรียงรายท่ามกลางท้องทุ่งสีเขียว และยังเหมาะสำหรับชมบรรยากาศนับดาวในยามค่ำคืน ทำให้มอหินขาวแหล่งท่องเที่ยวแห่งนี้ได้บรรจุไว้ในโครงการ 12 เดือน 7 ดาว 9 ตะวัน ของการท่องเที่ยว


ถัดไปอีกจุดห่างออกไป 500 เมตร จะเเป็นลานก้อนหินขนาดใหญ่รูปทรงต่างๆ กระจัดกระจายอยู่รอบๆ บริเวณ มีรูปร่างแปลกแตกต่างกันออกไป เช่นรูปร่างคล้ายเรือ เจดีย์ หอเอียงเมืองปิซ่า และคล้ายกระดองเต่า บางก้อนสามารถปีนขึ้นไปชมวิวจากบนหินได้ด้วย
จุดที่ 3 “ลานหินต้นไทร” ที่เป็นแท่นหินและเสาหินขนาดเล็ก โดยลาดเอียงขึ้นไปจดหน้าผาที่มีชื่อว่า “ผาหัวนาก” ที่บางคนเรียกว่า “ผากล้วยไม้” เพราะลานหินแห่งนี้เป็นหน้าผาที่เต็มไปด้วยกล้วยไม้และดอกไม้ป่าขึ้นอยู่มากมาย อาทิ เอื้องหมายนา เอื้องม้าวิ่ง กระดุมเงิน โดยในช่วงปลายฝนต้นหนาวระหว่างเดือนก.ย.-ต.ค. กล้วยไม้ที่นี่จะออกดอกบานสะพรั่งให้สีสันสดใส และยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามอีกด้วย
มอหินขาว เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติภูแลนคา อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ประมาณ 600 เมตร ทิศเหนือติดกับเขตอำเภอหนองบัวแดงและ อำเภอ เกษตรสมบูรณ์ สามารถมองเห็นอ่างเก็บน้ำลำประทาวที่อยู่ไกลลิบ ๆ เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบสภาพอากาศ แบบธรรมชาติ มองไกลออกไปมีทิวทัศน์ที่สวยงาม มีลมพัดเย็นสบายตลอดทั้งวัน ลักษณะของแท่งหินเป็นหินสีขาวขนาดใหญ่ แต่ละแท่งมีความกว้างประมาณ 4 – 5 เมตร สูงประมาณ 15 – 20 เมตร และตั้งเรียงรายกันเป็นแถว สันนิษฐานว่าก้อนหินขนาดยักษ์เหล่านี้มีอายุประมาณ 175 – 195 ล้านปี เกิดจากการสะสมของตะกอนทรายแป้งและดินเหนียว
ลานหิน เสาหินและแท่งหินที่มอหินขาวส่วนใหญ่เป็นหินทรายสีขาว นอกจากนี้ก็ยังมี หินทรายแป้ง หินโคลน หินทรายสีม่วง ซึ่งสันนิษฐานว่าก้อนหินขนาดยักษ์เหล่านี้มีอายุประมาณ 175-195 ล้านปี เกิดจากการเคลื่อนไหวของเปลือกโลกที่ทำให้ชั้นหินเกิดการโค้งงอและแตกหักเมื่อผสมกับการกัดเซาะของน้ำฝนและการไหลของน้ำตามผิวดิน ลานหินที่นี่จึงค่อยเปลี่ยนลักษณะเป็นเสาหินและแท่งหินอย่างที่เห็นในปัจจุบัน พื้นที่มอหินขาวในปัจจุบันทางจังหวัดชัยภูมิยังไม่ได้เปิดพื้นที่มอหินขาวให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการ เพราะว่ายังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องปรับปรุง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการปรับปรุงทางขึ้น การจัดภูมิทัศน์ การฝึกอบรมไกด์ท้องถิ่น การทำป้ายสื่อความหมาย การทำเส้นทางท่องเที่ยว และการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้พร้อมมากขึ้น แต่มอหินขาวสามารถขับรถขึ้นไปเที่ยวและพักค้างแรมได้ เพราะลานกว้างไว้ให้กางเต็นท์พร้อมมีห้องน้ำอำนวยความสะดวก ซึ่งผู้สนใจควรสอบถามรายละเอียดก่อนออกเดินทางที่ อุทยานแห่งชาติภูแลนคา
0-4481-0902-3
การเดินทางจากจังหวัดชัยภูมิ ใช้ทางหลวงหมายเลข 2051 ตามถนนสายชัยภูมิ – น้ำตกตาดโตน ระยะทางประมาณ 18 กิโลเมตร แยกเลี้ยวซ้ายเข้าเส้นทางไปท่าหินโงม เป็นทางลาดยางขึ้นเขาประมาณ 12 กิโลเมตร ถึงสามแยกทางไปบ้านแจ้งเจริญ – โสมเชือก 6.5 กิโลเมตร ผ่านบ้านวังคำแคน จะถึงบริเวณที่ตั้งของหินขนาดใหญ่ จำนวนหลายแท่งและกลุ่มหินอีกจำนวนมาก ขนาดลดหลั่นกันใหญ่บ้างเล็กบ้าง ขึ้นอยู่ประปรายในพื้นที่เทือกเขา “ภูแลนคา” รวมระยะทางประมาณ 40 กิโลเมตร

อุทยานแห่งชาติภูแลนคา ต.ห้วยต้อน อ. เมืองชัยภูมิ จ. ชัยภูมิ 36000
โทรศัพท์ 0 4481 0902-3 อีเมล reserve@dnp.go.th

วิธีดูงูกรีนแมมบ้า GREEN MAMBA

รูปภาพ งูกรีนแมมบ้า วิธีดูงูกรีนแมมบ้า GREEN MAMBA ของจริงเป็นไงมาดูกัน