วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2556

วันฮาโลวีน เทศกาลฮาโลวีน 31 ตุลาคม

วันฮาโลวีน (Halloween) ประเพณีปลุกผีชาติตะวันตก!!

ในวันที่ 31 ตุลาคม ที่จะถึงนี้ เป็น วันฮาโลวีน (Halloween) ซึ่งเป็นวันที่ชาวชาติตะวันตก นิยมแต่งกายเป็นภูตผีปีศาจและพาเพื่อนฝูงไปงานเลี้ยงฉลองกัน โดยในวันฮาโลวีนนั้น จะมีการประดับแสงไฟ ต่างๆ ให้คล้ายกับเมืองภูตผีปีศาจ โดยสัญลักษณะของวันฮาโลวีน คือ โคมไฟฟักทองแกะสลัก เรียกกันว่า แจ๊ก โอแลนเทิร์น (Jack-o lantern) ซึ่งประเทศที่นิยมจัดงานในวันฮาโลวีนได้แก่ สหรัฐอเมริกา สหรราชอาณาจักร (อังกฤษ) แคนาดา และชาติต่างๆ อีกมากมาย แต่ในโซนเอเซียบ้านเราไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก
google - halloween
Doodle Google ในวัน ฮัลโลวีน (Halloween)
ประวัติวันฮาโลวีน
สาเหตุที่วันฮาโลวีน ตรงกับวันที่ 31 ตุลาคม ของทุกปีนั้น เชื่อกันว่า เป็นวันที่ชาวเคลต์ (Celt) ซึ่งเป็นชนเผ่าพื้นเมืองเผ่าหนึ่งในไอซ์แลนด์ ถือกันว่าเป็นวันสิ้นสุดปี โดยถือกันว่าเป็นวันที่มิติคนตายและ มนุษย์จะถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกันและ วิญญาณผู้เสียชีวิตในปีที่ผ่านมาจะเที่ยวหาร่างของคนเพื่อสิงสู่ เพื่อที่จะได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง จึงทำให้คนเป็นอย่างเรา ในวันฮาโลวีนจะต้องหหาทางแก้ไขด้วยการปิดไฟในบ้านทุกดวง ให้บ้านมืดมิด ร่วมกับอากาศที่หนาวซึ่งไม่เป็นที่ปรารถนาของบรรดาผีร้าย อีกทั้งยังมีบางส่วนจะแต่งตัวเป็นผีต่างๆ เพื่อกลบเกลือนวิญญาณว่าไม่ใช่คนเป็นนั้นเอง
Trick or treater
Trick or Treater in Halloween Day
กิจกรรมในวันฮาโลวีน
ในวันฮาโลวีน ที่นิยมจัดกันในประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรป ที่มีการจัดกิจกรรมต่างๆ อย่างสนุกสนาน โดยเฉพาะกลุ่ม เด็กๆ ที่จะแต่งกายเป็นภูตผี ปีศาจ ในรูปแบบต่างๆ และพากันออกไปร่วมงานฉลองวันฮาโลวีน โดยจะเรียกการเล่นนี้ว่า Trick of Treat (หลอกหรือเลี้ยง) ซึ่งเด็กๆ ที่แต่งตัวเป็นภูติผีปีศาจนั้นๆ จะเดินไปเคาะประตูตามบ้านต่างๆ เพื่อขอขนมที่นิยมจะเป็นลูกกวาด นั้นเองและอีกหนึ่งกิจกรรมในวันฮาโลวีน นอกจากเคาะประตูขอขนมตามบ้านต่าง ๆ แล้ว ยังมีการนำ แอปเปิล กับเหรียญชนิดหกเพ็นซ์ใส่ลงในอ่างน้ำ หากใครสามารถแยกแยะของสองอย่างนี้ ออกจากกันได้ด้วยการใช้ปากคาบเหรียญขึ้นมา และใช้ส้อมจิ้มแอปเปิลให้ติดเพียงครั้งเดียวถือว่าผู้นั้นจะโชคดีตลอดปีใหม่ ที่กำลังมาถึง
ตะเกียงฟักทอง
ประวัติ แจ็ก-โอ’-แลนเทิร์น (Jack-o’-lantern)
ตะเกียงฟักทอง,  โคมไฟฟักทอง หรือ แจ็ก-โอ’-แลนเทิร์น (Jack-o’-lantern) เป็นอุปกรณ์ประดับตกแต่งสถานที่ซึ่งนิยมใช้ใน เทศกาลฮาโลวีน มีลักษณะเป็นผลฟักทองสีส้ม แกะสลักเป็นรูปหน้าคนในกริยาต่างๆ โดยมากมักเป็นกริยาแสดงอาการข่มขวัญ หรือโอดครวญ ทั้งนี้ การใช้ตะเกียงฟักทอง เป็นการระลึกถึง แจ็ก (jack) ชายชาวนาในตำนานที่หาญกล้าต่อกรกับซาตาน


ตำนานของแจ็ก (jack)
เรื่องของแจ็กมีการเล่าในตำนานหลายรูปแบบ เป็นเรื่องเล่าโบราณเรื่องหนึ่ง ซึ่งกล่าวถึงที่มาของชายชาวนาจอมเจ้าเล่ห์ ชื่อว่า “แจ็ก” ผู้ที่ต่อสู้กับซาตาน อย่างไม่เกรงกลัว โดยใช้อุบายหลอกล่อ ซาตานติดกับดัก หนีไปไหนไม่ได้ ซึ่งแจ็กไม่ยอมปล่อยซาตานจนกว่ามันจะรับปากว่า เมื่อเขาตายแล้วจะไม่นำวิญญาณเขาลงนรกเด็ดขาด ซาตานไม่มีทางเลือกจึงต้องรับปาก เมื่อแจ็กเสียชีวิตลงด้วยความเป็นคนชั่วเขาจึงไม่ได้ไปสวรรค์ วิญญาณของเขาล่องลอยไปยังปากทางนรก และพบกับซาตานคู่อริเก่าอีกครั้ง ตามสัญญาที่ให้ไว้ ซาตานปล่อยวิญญาณของแจ็กไป พร้อมแสงไฟส่องนำทางให้กับวิญญาณแจ็กที่ต้องเร่ร่อน ไม่มีที่ไปอย่างนั้นตลอดกาล ทุกคืน ฮาโลวีน วิญญาณของแจ็กจะระหกระเหินไปในความมืด พร้อมแสงไฟส่องที่ครอบด้วยหัวผักกาด ต่อมาเมื่อตำนานนี้เข้ามาในอเมริกา ก็มีการเปลี่ยนมาใช้ผลฟักทองแทนจนทุกวันนี้

ขอบคุณวีดีโอจาก VRZO

เที่ยวเกาะที่ 'ใหม่' ที่สุดในโลกที่ปากีสถาน


    เราจะพาคุณผู้ชมไปเที่ยวปากีสถาน โดยสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้ อาจจะหายไปในอนาคต เพราะว่ามันเป็นเกาะแห่งใหม่ที่เพิ่งโผล่ขึ้นมากลางทะเลหลังเหตุแผ่นดินไหวขนาด 7.7 ริกเตอร์ สร้างความงุนงงให้กับชาวบ้านเป็นอย่างมาก 
 
    ข่าวเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 7.7 ริกเตอร์ ที่เกิดขึ้นในจังหวัดบาลูจิสถาน ประเทศปากีสถานเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 300 ราย ขณะที่บ้านเรือนพังเสียหายเกือบทั้งหมด ส่วนแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว ยังรู้สึกไปไกลทั่วภูมิภาค ไม่เว้นแม้กระทั่งผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แม้จะดูเป็นข่าวที่รุนแรงเพราะมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก แต่ข่าวดังกล่าวกลับถูกกลบกระแส ด้วยข่าวของเกาะ ที่โผล่ขึ้นมากลางทะเลนอกชายฝั่งปากีสถาน อันเป็นผลพวงมาจากแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว
 
    เกาะที่ใหม่ที่สุดในโลกแห่งนี้ อยู่บริเวณชายฝั่งเมืองกวาดาร์ ที่อยู่ห่างจากนครการาจีไป 533 กิโลเมตร มีขนาดสูง 18 เมตร กว้าง 30 เมตร และยาว 76 เมตร ซึ่งความกว้างก็อาจจะเล็กกว่าสนามเทนนิสเล็กน้อย และสั้นกว่าสนามฟุตบอลนิดหน่อย แต่ก็สร้างความประหลาดใจให้กับชาวบ้าน รวมถึงสื่อมวลชนเป็นอย่างมาก โดยพวกเขาต่างก็มาเยี่ยมชมเกาะแห่งนี้กันอย่างไม่ขาดสาย แต่กลุ่มนักธรณีวิทยาที่ศึกษาเรื่องนี้มาโดยตลอดกลับบอกว่า การที่อยู่ดีๆเกาะจะโผล่ขึ้นมากลางทะเลนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด เพราะเปลือกโลกของเรามีการเคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลา
 
    โดยมาโคร โบห์นฮอฟ  ศาสตราจารย์ด้านแผ่นดินไหววิทยา จากศูนย์ศึกษาธรณีศาสตร์แห่งเยอรมนี ได้เปิดเผยข้อสันนิษฐานของสาเหตุที่ทำให้เกิดเกาะโผล่ขึ้นมากลางทะเลว่า มีอยู่ 2 ทฤษฎีที่น่าจะเป็นไปได้ ทฤษฎีแรกคือ แผ่นเปลือกโลกเกิดการเคลื่อนตัวจากแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว จนเกิดการยกตัวขึ้นมาเหนือผืนน้ำทะเล ทฤษฎีที่สอง คือ แรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว ได้ทำให้โลกปล่อยพลังงานมหาศาลออกมา ซึ่งพลังงานเหล่านั้น คือมวลแก๊สที่ทำให้เกิดแรงดัน จนเกิดเนินเขาโผล่ขึ้นมาเหนือพื้นน้ำ ในลักษณะที่คล้ายกับภูเขาไฟโคลน ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่พบเห็นได้ทั่วไปบนโลก โดยนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ ต่างเทคะแนนไปให้ทฤษฎีที่สองมากกว่า แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องมีการศึกษากันต่อไปว่า แท้จริงแล้ว เกาะแห่งนี้ เกิดจากอะไรกันแน่
 
    จากการลงพื้นที่และสำรวจโดยรอบของเกาะดังกล่าวพบว่า ขณะนี้ มีแก๊สพวยพุ่งออกมาเป็นระยะๆ และผู้ที่อยู่โดยรอบจะได้กลิ่นแก๊สอยู่ตลอดเวลา โดยมีรายงานว่า แก๊สพวกนี้ก่อให้เกิดประกายไฟหลังจากที่มีคนพยายามจะจุดบุหรี่ ขณะเดียวกัน ก็พบปลาตาย ปะการัง และโคลนอีกเป็นจำนวนมากอยู่รอยล้อมเกาะ ซึ่งชาวบ้านที่เข้าไปในบริเวณดังกล่าว ได้เก็บก้อนหิน และโคลนบางส่วนเอาไว้เพื่อเป็นที่ระลึก
 
    อย่างไรก็ตาม ภูเขาไฟโคลนในลักษณะนี้ จะไม่เหมือนภูเขาไฟประเภทอื่น ที่เมื่อลาวาเย็นตัวลงแล้ว จะกลายเป็นหิน แต่ภูเขาไฟโคลน อาจจะหายไปในอนาคต แม้ว่ามันจะอยู่นานเป็นเดือนหรือเป็นปีก็ตาม เหมือนเช่นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปี 2542 - 2543 ที่มีเกาะในลักษณะนี้โผล่ขึ้นกลางทะเล ห่างจากชายฝั่งเมืองกวาดาร์ไป 282 กิโลเมตร เกาะดังกล่าวมีอายุประมาณ 1 ปี และจมหายไปในท้องทะเล หลังจากที่เกิดพายุฝนฟ้าคะนองอย่างหนัก ในช่วงฤดูมรสุม ที่พัดเข้าปากีสถานเป็นประจำทุกปีในช่วงฤดูร้อนนั่นเอง

เกาะฮาชิมะ เกาะที่น่ากลัวที่สุดในโลก


เกาะฮาชิมะ อดีตเหมืองถ่านหินขนาดใหญ่ ก่อนจะถูกทิ้งร้างกลายเป็นเกาะสุดเฮี้ยนติดอันดับโลกของญี่ปุ่น

            เป็นที่ฮือฮาของคอหนังผีอย่างยิ่งทีเดียว สำหรับภาพยนตร์ "ฮาชิมะ โปรเจกต์" ของค่าย M39 หลังจากที่ได้ปล่อยทีเซอร์ตัวแรกออกมาให้ได้ชม ก็ทำเอาคอหนังใจจดใจจ่อรอชมกันแทบไม่ไหวแล้ว และเชื่อว่าคงมีหลาย ๆ คนที่สนอกสนใจเรื่องราวของเกาะฮาชิมะ สถานที่รกร้างที่มีเสียงร่ำลือถึงสิ่งลี้ลับอันน่าสะพรึงกลัว แถมเฮี้ยนติดอันดับโลก ว่าเรื่องนี้จริงเท็จหรือไม่ อย่างไร วันนี้กระปุกดอทคอมก็มีเรื่องราวของ เกาะฮาชิมะ มาฝากเพื่อน ๆ กันค่ะ

            เกาะฮาชิมะ อยู่ห่างจากเมืองนางาซากิ ประมาณ 15 กิโลเมตร สมัยที่เกาะฮาชิมะรุ่งเรืองมันถูกตั้งชื่อว่า Battleship Island หรือ เกาะเรือรบ ในอดีตเกาะแห่งนี้เต็มไปด้วยถ่านหิน จนเมื่อมีการค้นพบจึงได้เริ่มต้นทำเหมืองถ่านหินกันอย่างจริงจังในปี 2430 ก่อนที่บริษัทยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นอย่างมิตซูบิชิจะซื้อเกาะดังกล่าวเพื่อพัฒนาเป็นเหมืองถ่านหินขนาดใหญ่ รองรับกับความต้องการถ่านหินในการพัฒนาอุตสาหกรรมในญี่ปุ่นยุคนั้น จนทำให้มีการอพยพแรงงานและครอบครัวมาตั้งถิ่นฐานอยู่บนเกาะแห่งนี้จนเต็มพื้นที่

            อย่างไรก็ดี เกาะแห่งนี้เป็นเหมือนกับสถานที่คุมขังนักโทษด้วยเช่นกัน เนื่องจากในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง กองทัพญี่ปุ่น ได้เกณฑ์แรงงานชาวจีนและเกาหลีใต้ที่เป็นจำเลยช่วงสงครามมาทำงานในเหมืองถ่านหิน ทำให้ในสายตาของชาวจีนและเกาหลีใต้มองเกาะฮาชิมะเป็นเหมือนกับสถานที่ที่ทำให้พวกเขาฝันร้ายมาจนถึงปัจจุบัน

            จนกระทั่งปี 2517 มิตซูบิชิได้ประกาศปิดเหมืองบนเกาะฮาชิมะ เนื่องจากพลังงานจากถ่านหินไม่ได้เป็นที่ต้องการของญี่ปุ่นอีกต่อไป โดยทุกคนหันไปให้ความสำคัญกับพลังงานจากน้ำมันแทน ซึ่งหลังจากการปิดตัวลง แรงงานทั้งหมดจึงอพยพออกจากพื้นที่ และปล่อยให้เกาะแห่งนี้เป็นเกาะร้าง ที่ไม่มีแม้กระทั่งต้นไม้หรือดอกไม้ขึ้นอยู่ มีก็แต่เพียงไม้ล้มลุกขนาดเล็กเท่านั้น

            ปัจจุบัน ทางการญี่ปุ่นพยายามที่จะผลักดันให้เกาะฮาชิมะเป็นมรดกโลก โดยยื่นเรื่องไปยังองค์การยูเนสโก แต่กลับถูกทางการเกาหลีใต้คัดค้าน เพราะมองว่าเกาะฮาชิมะ คือบาดแผลสงครามที่ยังหลงเหลืออยู่ และทำให้ชาวเกาหลีใต้และชาวจีน รู้สึกเจ็บปวดทุกครั้ง ที่มีการกล่าวถึงเกาะนี้

            อย่างไรก็ตาม แม้จะยังเป็นที่ถกเถียงกันว่า เกาะฮาชิมะสมควรจะได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกหรือไม่ แต่ปัจจุบันเกาะแห่งนี้ก็มีชื่อเสียงอย่างมากจากการถูกนำไปใช้เป็นฉากจำลองในภาพยนตร์เจมส์ บอนด์ Skyfall จนทำให้เกาะแห่งนี้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่ออีกแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น

            นอกจากนี้ เกาะฮาชิมะเริ่มเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมเมื่อ 4 ปีก่อน แต่จนถึงตอนนี้ มีนักท่องเที่ยวเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้มีโอกาสสัมผัสกับแหล่งท่องเที่ยวแห่งนี้ เพราะทางการญี่ปุ่นจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยว ทำให้แต่ละปีมีผู้ที่ได้รับอนุญาตให้มาเที่ยวที่นี่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น


CREDIT : http://blog.eduzones.com/

วันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2556

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวัฑฒโน).jpg     

        สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺฒโน)(3 ตุลาคม พ.ศ. 2456 – 24 ตุลาคม พ.ศ. 2556) เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ทรงดำรงตำแหน่งเมื่อ พ.ศ. 2532 ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นสมเด็จพระสังฆราชที่มีพระชันษามากกว่าสมเด็จพระสังฆราชทุกพระองค์ในอดีตและเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์แรกของไทยที่มีพระชันษา 100 ปี สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เนื่องจากติดเชื้อในกระแสพระโลหิต

พระประวัติ

ขณะทรงพระเยาว์

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระนามเดิมว่า เจริญ คชวัตร ประสูติเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2456 เป็นบุตรคนโตของนายน้อย คชวัตร และนางกิมน้อย คชวัตร ชาวกาญจนบุรี พระองค์มีน้องชาย 2 คน ได้แก่ นายจำเนียร คชวัตร และนายสมุทร คชวัตร บิดาของพระองค์ป่วยเป็นโรคเนื้องอกและเสียชีวิตไปตั้งแต่พระองค์ยังเล็ก หลังจากนั้น พระองค์ได้มาอยู่ในความดูแลของป้าเฮงซึ่งเป็นพี่สาวของนางกิมน้อยที่ได้ขอพระองค์มาเลี้ยงดู
เมื่อพระชันษาได้ 8 ปี ทรงเข้าเรียนที่โรงเรียนประชาบาล วัดเทวสังฆาราม จนจบชั้นประถม 5 (เทียบเท่าชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และ 2 ในปัจจุบัน) เมื่อ พ.ศ. 2468 ในขณะที่มีพระชันษา 12 ปี หลังจากนั้น ทรงไม่รู้ว่าจะเรียนอะไรต่อและไม่รู้ว่าจะเรียนที่ไหน ทรงเล่าว่า "เมื่อเยาว์วัยมีพระอัธยาศัยค่อนข้างขลาด กลัวต่อคนแปลกหน้า และค่อนข้างจะเป็นคนติดป้าที่อยู่ ใกล้ชิดกันมาแต่ทรงพระเยาว์โดยไม่เคยแยกจากกันเลย" จึงทำให้พระองค์ไม่กล้าตัดสินพระทัยไปเรียนต่อที่อื่น

บรรพชาและอุปสมบท

เมื่อพระองค์ยังทรงพระเยาว์นั้นทรงเจ็บป่วยออดแอดอยู่เสมอ โดยมีอยู่คราวหนึ่งที่ทรงป่วยหนักจนญาติ ๆ ต่างพากันคิดว่าคงไม่รอดแล้วและได้บนไว้ว่า ถ้าหายป่วยจะให้บวชเพื่อแก้บน แต่เมื่อหายป่วยแล้ว พระองค์ก็ยังไม่ได้บวช จนกระทั่งเรียนจบชั้นประถม 5 แล้ว พระองค์จึงได้ทรงบรรพชาเป็นสามเณรเพื่อแก้บนในปี พ.ศ. 2469 ขณะมีพระชันษาได้ 14 ปี ที่วัดเทวสังฆาราม โดยมีพระเทพมงคลรังษี (ดี พุทธฺโชติ) เจ้าอาวาสวัดเทวสังฆารามเป็นพระอุปัชฌาย์และพระครูนิวิฐสมาจาร (เหรียญ สุวณฺณโชติ) เจ้าอาวาสสวัดศรีอุปลารามเป็นพระอาจารย์ให้สรณะและศีล
ภายหลังบรรพชาแล้วได้จำพรรษาอยู่ที่วัดเทวสังฆาราม 1 พรรษาและได้มาศึกษาพระธรรมวินัยที่วัดเสน่หา จังหวัดนครปฐม หลังจากนั้น พระเทพมงคลรังษี (ดี พุทธฺโชติ) พระอุปัชฌาย์ได้พาพระองค์ไปยังวัดบวรนิเวศวิหาร และนำพระองค์ขึ้นเฝ้าถวายตัวต่อสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร (ต่อมา คือ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์) เพื่ออยู่ศึกษาพระปริยัติธรรมในสำนักวัดบวรนิเวศวิหาร พระองค์ทรงได้รับประทานนามฉายาจากสมเด็จพระสังฆราชว่า “สุวฑฺฒโน” ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้เจริญดี” จนกระทั่ง พระชันษาครบอุปสมบทจึงทรงเดินทางกลับไปอุปสมบทที่วัดเทวสังฆารามเมื่อ พ.ศ. 2476 ภายหลังจึงได้เดินทางเข้ามาจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร เพื่อทรงศึกษาพระธรรมวินัยและที่วัดบวรนิเวศวิหารนี่เอง พระองค์ท่านได้เข้าพิธีอุปสมบทซ้ำเป็นธรรมยุติกนิกาย โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เป็นพระอุปัชฌาย์

การศึกษาพระปริยัติธรรม

พระองค์ทรงเริ่มเรียนพระปริยัติธรรมตามคำชักชวนของพระเทพมงคลรังษี (ดี พุทธฺโชติ) พระอุปัชฌาย์ ที่ตั้งใจจะให้พระองค์กลับมาสอนพระปริยัติธรรมที่วัดเทวสังฆารามและจะสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรมเตรียมไว้ให้ โดยพระอุปัชฌาย์นำพระองค์ไปฝากไว้กับพระครูสังวรวินัย (อาจ) เจ้าอาวาสวัดเสน่หา เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2470 แล้วจึงเริ่มเรียนภาษาบาลีโดยมีพระเปรียญจากวัดมกุฏกษัตริยารามวรวิหาร กรุงเทพมหานคร เป็นอาจารย์สอน หลังจากนั้น จึงเดินทางมายังกรุงเทพมหานครเพื่อศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดบวรนิเวศวิหาร พระองค์ทรงสอบได้นักธรรมชั้นตรีได้เมื่อ พ.ศ. 2472 และทรงสอบได้นักธรรมชั้นโทและเปรียญธรรม 3 ประโยค ในปี พ.ศ. 2473
พระองค์ทรงตั้งพระทัยอย่างมากในการสอบเปรียญธรรม 4 ประโยค แต่ผลปรากฏว่าทรงสอบตก ทำให้ทรงรู้สึกท้อแท้และคิดว่า "คงจะหมดวาสนาในทางพระศาสนาเสียแล้ว" แต่เมื่อทรงคิดทบทวนและไตร่ตรองดูว่าทำไมจึงสอบตก ก็ทรงตระหนักได้ว่าเหตุแห่งการสอบตกนั้นเกิดจากความประมาทโดยแท้ กล่าวคือ ทรงทำข้อสอบโดยไม่พิจารณาให้รอบคอบด้วยสำคัญผิดว่าตนรู้ดีแล้ว ทั้งยังมุ่งอ่านเฉพาะเนื้อหาที่เก็งว่าจะออกเป็นข้อสอบเท่านั้น ซึ่งพระองค์ทรงพบว่าเป็นวิธีการเรียนที่ไม่ถูกต้องเพราะไม่ทำให้เกิดความรู้อย่างแท้จริง จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้พระองค์สอบตก เมื่อพระองค์ทรงตระหนักได้ดังนี้แล้วจึงทรงเปลี่ยนมาใช้วิธีเรียนแบบสม่ำเสมอและทั่วถึง พระองค์จึงสอบได้ทั้งนักธรรมชั้นเอกและเปรียญธรรม 4 ประโยค ในปี พ.ศ. 2475
หลังจากนั้น พระองค์ทรงกลับไปสอนพระปริยัติธรรมที่โรงเรียนเทวานุกูล วัดเทวสังฆาราม เพื่อสนองพระคุณพระเทพมงคลรังษีเป็นเวลา 1 พรรษา แล้วจึงทรงกลับมาอยู่วัดบวรนิเวศวิหารเพื่อทรงศึกษาพระปริยัติธรรมต่อไป โดยทรงสอบได้เปรียญธรรม 5 ประโยค โดยในระหว่างที่ทรงอยู่วัดบวรนิเวศวิหารนั้น พระองค์ก็ยังคงกลับไปช่วยสอนพระปริยัติธรรมที่วัดเทวสังฆารามอยู่เสมอ พระองค์ยังทรงศึกษาพระปริยัติธรรมอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่ง สอบได้เปรียญธรรม 9 ในปี พ.ศ. 2484

การปฏิบัติหน้าที่ด้านคณะสงฆ์



หลังจากที่พระองค์สอบได้เปรียญธรรม 9 แล้ว พระองค์ทรงเริ่มงานอันเกี่ยวเนื่องกับคณะสงฆ์อีกมากมาย ซึ่งนอกเหนือจากเป็นครูสอนพระปริยัติธรรมแล้ว พระองค์ยังเป็นผู้อำนวยการศึกษาสำนักเรียนวัดบวรนิเวศวิหารซึ่งมีหน้าที่จัดการศึกษาของภิกษุสามเณรทั้งแผนกธรรมและแผนกบาลี รวมทั้งทรงเป็นสมาชิกสังฆสภาโดยตำแหน่งในฐานะเป็นพระเปรียญ 9 ประโยค ต่อมา เมื่อมีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยขึ้นอีกครั้งในปี พ.ศ. 2488 พระองค์ทรงรับหน้าที่เป็นกรรมการสภาการศึกษาและอาจารย์ของมหาวิทยาลัย รวมทั้ง เป็นพระวินัยธรชั้นอุทธรณ์และรักษาการพระวินัยธรชั้นฎีกาในกาลต่อมา นอกจากนี้ ยังทรงเป็นเลขานุการในสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์อีกด้วย
เมื่อมีพระชันษาได้ 34 ปี พระองค์ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะ ชั้นสามัญ ที่ พระโศภนคณาภรณ์ โดยพระองค์ได้รับเลือกจากสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ให้เป็นพระอภิบาลของพระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชในระหว่างที่ผนวชเป็นพระภิกษุและเสด็จประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อปี พ.ศ. 2499 ต่อมา ได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะ ชั้นธรรม ที่ พระธรรมวราภรณ์ โดยราชทินนามทั้ง 2 ข้างต้นนั้นเป็นราชทินนามที่ตั้งขึ้นใหม่สำหรับพระราชทานแก่พระองค์เป็นรูปแรก
ในปี พ.ศ. 2504 พระองค์ได้รับตำแหน่งเป็นผู้รักษาการเจ้าคณะธรรมยุตภาคทุกภาคและเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหารราชวรวิหาร ในปีเดียวกันนี้เองพระองค์ได้รับการสถาปนาที่ พระสาสนโสภณ พระองค์เข้ารับตำแหน่งกรรมการมหาเถรสมาคมตั้งแต่ปี พ.ศ. 2506 และยังคงดำรงตำแหน่งมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนั้น ยังได้ทรงนิพนธ์ผลงานทางวิชาการ เอกสาร และตำราด้านพุทธศาสนาไว้มากมาย

สมเด็จพระสังฆราช



พ.ศ. 2515 พระองค์ได้รับพระราชทานสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระญาณสังวร ซึ่งเป็นราชทินนามที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยโปรดให้ตั้งขึ้นใหม่สำหรับพระราชทานสถาปนาสมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวร) พระราชาคณะฝ่ายวิปัสสนาเป็นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. 2359 ตำแหน่งสมเด็จพระราชาคณะที่สมเด็จพระญาณสังวร จึงเป็นตำแหน่งพิเศษที่โปรดพระราชทานสถาปนาแก่พระเถระผู้ทรงคุณทางวิปัสสนาธุระเท่านั้น
เมื่อสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (วาสน์ วาสโน)สิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. 2531 ทำให้ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชว่างลง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชจึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ในราชทินนามเดิม คือ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ซึ่งราชทินนามดังกล่าวนับเป็นราชทินนามพิเศษ กล่าวคือ สมเด็จพระสังฆราชที่มิได้เป็นพระบรมวงศานุวงศ์นั้น โดยปกติจะใช้ราชทินนามว่า สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ บางพระองค์ ครั้งนี้จึงนับเป็นอีกหนึ่งครั้งมีการใช้ราชทินนาม สมเด็จพระญาณสังวร สำหรับสมเด็จพระสังฆราชเพื่อเป็นพระเกียรติคุณทางวิปัสสนาธุระของพระองค์ ( ในพระนาม ใช้ราชทินนาม สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ)

ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช


ในช่วงที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชมีศาสนกิจที่จะต้องเสด็จไปต่างประเทศ พระองค์จะมีพระบัญชาแต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช โดยเมื่อครั้งพระองค์เสด็จประเทศจีนอย่างเป็นทางการ ตามคำกราบทูลอาราธนาของทบวงศาสนกิจ ประเทศจีน และเสด็จปฏิบัติศาสนกิจที่ประเทศเนปาล พระองค์มีพระบัญชาแต่งตั้งให้ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฟื้น ชุตินฺธโร) เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช นอกจากนี้ เมื่อครั้งที่พระองค์เสด็จปฏิบัติศาสนกิจที่ประเทศญี่ปุ่นและประเทศอินเดีย พระองค์มีพระบัญชาแต่งตั้ง สมเด็จพระพุทธปาพจนบดี (ทองเจือ จินฺตากโร) เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช
ช่วงปี พ.ศ. 2547 หลังจากที่ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ประชวร และประทับรักษาพระองค์ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เข้าร่วมงานพระศาสนาไม่สะดวก มหาเถรสมาคม ซึ่งเป็นองค์กรปกครองคณะสงฆ์ ได้แต่งตั้งให้ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งสมเด็จพระสังฆราชได้มีพระบัญชาว่า “ทราบและเห็นชอบ” เมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2547 ต่อมา การแต่งตั้งนั้นได้สิ้นสุดลงเพราะครบระยะเวลาที่กำหนด มหาเถรสมาคมจึงได้แต่งตั้ง คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เพื่อบริหารกิจการคณะสงฆ์แทนสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช โดยประกอบด้วยพระราชาคณะ รวม 7 รูป จากพระอาราม 7 วัด โดยมีสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ในฐานะมีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ทำหน้าที่ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช

สิ้นพระชนม์


สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เวลา 19:30 นาฬิกา ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เนื่องจากติดเชื้อในกระแสพระโลหิต  มีการเคลื่อนพระศพจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์มายังตำหนักเพชร วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เวลา 12:15 นาฬิกา ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ไปทรงสรงน้ำพระศพในวันเดียวกัน เวลา 17:00 นาฬิกา พระราชทานพระโกศกุดั่นใหญ่ภายใต้เศวตฉัตรสามชั้น พร้อมเครื่องประกอบพระเกียรติยศ และให้มีพิธีสวดพระอภิธรรมพระศพเจ็ดวัน

CREDIT : http://th.wikipedia.org/wiki/สมเด็จพระญาณสังวร_สมเด็จพระสังฆราช_สกลมหาสังฆปริณายก

พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)

พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)

  นามเดิม ประยุทธ์ อารยางกูร เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๒ มกราคม ๒๔๘๑ ณ ตลาดศรีประจันต์ อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี บรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุ ๑๒ ปี ที่วัดบ้านกร่าง อ.ศรีประจันต์ และอุปสมบทในพระบรมราชานุเคราะห์(นาคหลวง) ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันที่ ๒๔ ก.ค. ๒๕๐๔ สำเร็จการศึกษาชั้น น.ธ.เอก ป.ธ.๙ (ขณะเป็นสามเณร) และพุทธศาสตร์บัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับ ๑)
   ปัจจุบันเป็นเจ้าอาวาสวัดญาณเวศกวัน ต.บางกระทึก อ.สามพราน จ.นครปฐม
   ผลงานอันเลื่องชื่อที่ท่านมอบไว้เป็นมรดกแก่ชาวโลกคือ หนังสือ "พุทธธรรม" และงานนิพนธ์อันทรงคุณค่าอีกไม่ต่ำกว่า ๓๕๐ เล่ม พ.ศ. ๒๕๓๗ องค์การยูเนสโกได้น้อมถวายรางวัล การศึกษาเพื่อสันติภาพ แก่พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) ซึ่งท่านเป็นคนไทยคนแรกและคนเอเชียคนที่ ๑๔ ที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติยิ่งนี้

http://www.watnyanaves.net/th/web_page/biography

สมณศักดิ์
     พ.ศ. ๒๕๑๒ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระศรีวิสุทธิโมลี
     พ.ศ. ๒๕๑๖ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราช ที่ พระราชวรมุนี
     พ.ศ. ๒๕๓๐ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ที่ พระเทพเวที
     พ.ศ. ๒๕๓๖ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นธรรม ที่ พระธรรมปิฎก
     พ.ศ. ๒๕๔๗ ได้รับพระราชทานสถาปนาสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรอง ชั้นหิรัญบัฏ ที่ พระพรหมคุณาภรณ์ สุนทรธรรมสาธก ตรีปิฎกปริยัติโกศล วิมลศีลาจาร ศาสนภารธุราทร มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี

วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2556

อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย


    อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เป็นอนุสาวรีย์ที่ตั้งอยู่กึ่งกลางวงเวียนระหว่างถนนราชดำเนินกลางกับถนนดินสอ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร สร้างขึ้นเป็นที่ระลึกถึงเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข การก่อสร้างอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเริ่มขึ้นในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2482 และทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2483 ในสมัยจอมพล แปลก พิบูลสงคราม ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเป็นผลงานการออกแบบของหม่อมหลวงปุ่ม มาลากุล อันเป็นแบบที่ชนะการประกวดการออกแบบอนุสาวรีย์แห่งนี้ การออกแบบได้นำสถาปัตยกรรมแบบไทยมาผสมผสาน ตรงกลางเป็นสมุดไทยที่สื่อถึงรัฐธรรมนูญประดิษฐานบนพานแว่นฟ้า นอกจากการเป็นสัญลักษณ์เพื่อระลึกถึงประชาธิปไตยนั้น อนุสาวรีย์แห่งนี้ ยังเป็นหลักกิโลเมตรที่ศูนย์ของกรุงเทพมหานครและประเทศไทยอีกด้วย
อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยได้ใช้เป็นพื้นที่สำคัญของการชุมนุมทางการเมืองหลายครั้ง อาทิ การชุมนุมของประชาชนและนักศึกษาใน เหตุการณ์ 14 ตุลา, การชุมนุมของประชาชนในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ การชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ พ.ศ. 2553 เป็นต้น

วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2556

สุดยอด ! กรุงเทพและเชียงใหม่ ติด 25 สุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวของโลก 2013

กรุงเทพและเชียงใหม่ ติด
25 สุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวของโลก 2013
 
    สุดยอด ! กรุงเทพและเชียง

สวัสดีชาว eduzones ทุกคนครับ กลับมาพบกับ มองการศึกษาโลก อีกครั้งหนึ่งแล้วนะครับ เว็บไซต์แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังอย่าง TripAdvisor ได้ทำการสำรวจ 25 สถานที่ท่องเที่ยวของโลก ซึ่งได้รับการโหวตจากผู้ที่เข้ามาให้คะแนนและแสดงความคิดเห็นบนเว็บไซต์ โดยล่าสุดทางเว็บไซต์ได้ประกาศ รายชื่อ 25 สุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวของโลก ประจำปี 2013 ออกมาแล้วครับ

ซึ่งผลปรากฎว่าสถานที่ท่องเที่ยว ที่
ได้รับความนิยมที่สุดได้แก่ กรุงปารีส จาก ประเทศฝรั่งเศส และอันดับที่สอง ได้แก่ นิวยอร์ก ของ สหรัฐอเมริกา ครับ ทั้งนี้ผลอันดับทั้ง 25 อันดับ ยังมีรายชื่อของสถานที่ท่องเที่ยวของ ประเทศไทย อย่าง กรุงเทพมหานคร เข้ามาติดอันดับ ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 13 ของโลก และ เชียงใหม่ ในอันดับที่ 24 ของโลกอีกด้วยครับ เรามาติดตามผลอันดับ 25 สุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวของโลก ประจำปี 2013 กันดีกว่าครับว่าจะมีสถานที่ในใจของชาว eduzones บ้างหรือเปล่า !
 
อันดับที่ 1 Paris, France

กรุงเทพและเชียงใหม่ ติด

สถานที่น่าสนใจ ได้แก่ Musee de l'Orangerie, Luxembourg Gardens และ Notre Dame Cathedral
 
อันดับที่ 2 New York City, New York

กรุงเทพและเชียงใหม่ ติด

สถานที่น่าสนใจ ได้แก่ Top of the Rock Observation Deck, High Line และ Metropolitan Museum of Art
 
อันดับที่ 3 London, United Kingdom

กรุงเทพและเชียงใหม่ ติด

สถานที่น่าสนใจ ได้แก่ Victoria and Albert Museum, Churchill War Rooms และ Olympic Stadium
 
อันดับที่ 4 Rome, Italy

กรุงเทพและเชียงใหม่ ติด

สถานที่น่าสนใจ ได้แก่ Trevi Fountain (Fontana di Trevi), Roman Empire Tours และ Pantheon
 
อันดับที่ 5 Barcelona, Spain

กรุงเทพและเชียงใหม่ ติด

สถานที่น่าสนใจ ได้แก่ Guell Palace, St. Mary of the Sea Cathedral (Eglesia de Santa Maria del Mar) และ Camp Nou
 
อันดับที่ 6 Venice, Italy

กรุงเทพและเชียงใหม่ ติด

สถานที่น่าสนใจ ได้แก่ Grand Canal, Palazzo Ducale และ Saint Mark's Basilica (Basilica di San Marco)
 
อันดับที่ 7 San Francisco, California

กรุงเทพและเชียงใหม่ ติด

สถานที่น่าสนใจ ได้แก่ Cable Car Museum, Golden Gate Bridge และ Alcatraz
 
อันดับที่ 8 Florence, Italy

กรุงเทพและเชียงใหม่ ติด

สถานที่น่าสนใจ ได้แก่ Statue of David, Piazza del Duomo และ Palazzo Vecchio
 
อันดับที่ 9 Prague, Czech Republic

กรุงเทพและเชียงใหม่ ติด

สถานที่น่าสนใจ ได้แก่ Old Town Square (Staromestske namesti), Charles Bridge (Karluv Most) และ Prague Castle (Prazsky hrad)
 
อันดับที่ 10 Sydney, Australia

กรุงเทพและเชียงใหม่ ติด

สถานที่น่าสนใจ ได้แก่ Sydney Harbour Bridge, Bondi to Coogee Beach Coastal Walk และ Sydney Opera House
 
อันดับที่ 11 Berlin, Germany

กรุงเทพและเชียงใหม่ ติด

สถานที่น่าสนใจ ได้แก่ Brandenburg Gate (Brandenburger Tor), Memorial of the Berlin Wall และ Museumsinsel (Museum Island)
 
อันดับที่ 12  Istanbul, Turkey

กรุงเทพและเชียงใหม่ ติด

สถานที่น่าสนใจ ได้แก่ Sultanahmet District, Bosphorus Strait และ Suleymaniye Mosque

ดูอันดับที่ 13-25 ต่อที่นี่ : 25 สุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวของโลก 2013 ตอนที่ 2

บทความโดย : ต้นซุง eduzones
ขอบคุณข้อมูล : TripAdvisor

นักดาราศาสตร์ไทยค้นพบ ดาวแปรแสง ดวงใหม่

นักดาราศาสตร์ไทยค้นพบ "ดาวแปรแสง" หรือดาวฤกษ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงความสว่าง ดวงใหม่ ชี้เป็นผลงานวิจัยที่น่าภาคภูมิใจของ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.)

นายสมสวัสดิ์ รัตนสูรย์ เจ้าหน้าที่เทคนิคดาราศาสตร์ชำนาญการ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ หนึ่งในคณะผู้วิจัย เปิดเผยว่า เมื่อเดือน ธ.ค. 2555 ได้ถ่ายภาพดาว R CMa ด้วยฟิลเตอร์ B ต่อกับกล้องโทรทรรศน์ ขนาด 0.5 เมตร ที่หอดูดาวเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา เป็นเวลา 5 คืน เมื่อวัดความสว่างดาว TYC 5965-2398-1 เทียบกับดาวดวงอื่น พบการเปลี่ยนแปลงความสว่าง 0.303 วัน และระดับความสว่างเปลี่ยนไปประมาณ 0.09 แมกนิจูด สอดคล้องกับลักษณะดาวคู่ แบบ W Uma ซึ่งเป็นระบบดาวที่มีดาวฤกษ์ 2 ดวงโคจรรอบกันและอยู่ใกล้กันมากจนเห็นเป็นดาวดวงเดียวเมื่อมองจากโลก แต่ระบบดาวนี้จะแปรความสว่างตามรอบโคจร เมื่อทั้งคู่เคลื่อนมาบังกันจะสว่างน้อยที่สุด แต่เมื่อไม่บังกันก็สว่างมากที่สุด

ด้าน ดร.ศิรามาศ โกมลจินดา อาจารย์ประจำภาควิชาฟิสิกส์และวัสดุศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้วิจัยอีกท่านหนึ่ง อธิบายเพิ่มเติมว่า ดาวแปรแสง เป็นดาวฤกษ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงความสว่าง ซึ่งอาจเกิดจากสมบัติทางกายภาพของดาว เช่น ผิวดาวปะทุ พื้นผิวดาวไม่เสถียรจึงเกิดกระเพื่อม หรือเกิดจุดใหญ่บนพื้นผิว รวมทั้งการระเบิดเนื่องจากสสารภายนอกที่ตกลงสู่ดาว หรืออาจเกิดจากปัจจัยภายนอก เช่น การที่ดาวฤกษ์เป็นสมาชิกของระบบดาว ทำให้เมื่อสังเกตจากโลกจะเห็นดาวโคจรบังกัน

การศึกษาดาวแปรแสงประเภทต่างๆ ทำให้ทราบขนาด มวล รูปร่าง อุณหภูมิ และขนาดของวงโคจรของระบบดาว นอกจากนี้ ยังช่วยให้เข้าใจวิวัฒนาการของดาวฤกษ์ แรงกระทำระหว่างดาวฤกษ์กับดาวฤกษ์ หรือแรงกระทำระหว่างดาวฤกษ์กับวัตถุอื่นๆ เช่น ดาวเคราะห์ ดาวนิวตรอน ดาวแคระขาว หลุมดำ การจะค้นพบดาวแปรแสงได้ ต้องสังเกตการณ์ต่อเนื่องยาวนาน เพื่อยืนยันการแปรแสงที่แท้จริงจากดาวฤกษ์ ลดตัวแปรจากชั้นบรรยากาศโลก หรืออัตราเครื่องมือคลาดเคลื่อน

ปัจจุบันมีโอกาสค้นพบดาวแปรแสงดวงใหม่น้อยมาก เพราะกล้องโทรทรรศน์ในต่างประเทศถูกใช้ในงานวิจัยหลากหลาย การสังเกตการณ์วัตถุใดวัตถุหนึ่งต่อเนื่องเป็นเวลานานจึงน้อยมาก ดาวแปรแสงที่พบใหม่ดวงนี้ เป็นผลพลอยได้จากงานวิจัยไทย เนื่องจากทีมนักดาราศาสตร์ไทยกำลังติดตามสังเกตดาวแปรแสงอีกดวงหนึ่งอยู่ จึงค้นพบดาวแปรแสงดวงนี้โดยตรวจสอบภาพถ่ายที่ถ่ายต่อเนื่องกัน 5 คืน มากกว่า 4,000 ภาพ

ส่วน รศ.บุญรักษา สุนทรธรรม ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ กล่าวว่า ครั้งนี้นับเป็นผลงานวิจัยที่น่าภาคภูมิใจของ สดร. แม้ว่างานวิจัยดาราศาสตร์ขั้นสูงของไทย ยังมีจำนวนไม่มากนัก แต่เมืองไทยมีหอดูดาวแห่งชาติติดตั้งกล้องโทรทรรศน์ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2.4 เมตร บวกกับนักวิจัยไทยผู้มุ่งมั่น ทุ่มเท คาดว่าในอนาคตอันใกล้นี้ ผลงานวิจัยทางดาราศาสตร์ของคนไทย จะเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติอย่างแน่นอน สดร.จะยังคงทำการวิจัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อความรู้ของคนไทยและของโลก

ข้อมูลและภาพประกอบ : ไทยรัฐออนไลน์ 5 ตุลาคม 2556

http://blog.eduzones.com