วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

TOEFL, TOEIC และ IELTS คืออะไร?

       

         TOEFL คือข้อสอบภาษาอังกฤษที่ได้เก่าแก่และรับความนิยมสูงที่สุดในข้อสอบทั้งสาม ประเภท ข้อสอบ TOEFL จะมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบข้อสอบใหญ่ทุกๆ 5 ปี ปัจจุบันเป็น TOEFL iBT ซึ่งจะมีการ วัดทั้งทักษะ Listening, Reading, Writing และ Speaking หากต้องการจะเตรียมตัวสำหรับข้อสอบเดียว ผมอยากแนะนำให้เตรียมตัวสำหรับข้อสอบ TOEFL เนื่องจากสามารถนำไปใช้หรือ apply ใช้กับข้อสอบประเภทอื่นได้รวมทั้ง TOEIC, IELTS, CU-TEP หรือแม้กระทั่ง TU-GET ได้ ปัจจุบันคะแนน TOEFL จะสามารถนำไปใช้ในการสมัครเรียนต่อได้หลายประเทศ, สมัครงานสายการบิน รวมทั้งสมัครงานบริษัทชั้นนำของประเทศไทยเช่น ปตท และ ปูนซิเมนต์ไทย ได้ => ข้อสอบยอดนิยม
        TOEIC คือสอบทักษะภาษาอังกฤษโดยมุ่งเน้นเพื่อใช้ในการสมัครงาน ข้อสอบนี้จะคล้ายกับข้อสอบ TOEFL เก่าเนื่องจากออกโดยผู้ออกข้อสอบคนเดียวกัน ปัจจุบัน TOEIC จะมีการสอบ 2 รูปแบบคือ Classic และ Redesigned ซึ่งจะเป็นการสอบเฉพาะในส่วนของ passive skills เท่านั้น นั้นคือมีเพียงข้อสอบ Listening และ Reading เท่านั้น หากในอนาคตซัก 1-3 ปี อาจจะให้ผู้สอบสามารถเลือกที่จะสอบ Speaking และ Writing เพิ่มเติมได้ => ข้อสอบง่าย ราคาไม่แพง สามารถสมัครสอบได้ที่สถาบัน Kendall ครับ โทร. 02-245-6355
       IELTS คือ ข้อสอบภาษาอังกฤษที่ใช้ในการศึกษาต่อต่างประเทศ โดยเดิมทีจะเป็นที่ยอมรับเฉพาะในประเทศอังกฤษ, ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์ เท่านั้น หากแต่ปัจจุบันได้รับการยอมรับมากขึ้นในวงการการศึกษา สำหรับรูปแบบของข้อสอบ IELTS จะใกล้เคียงกับข้อสอบ TOEFL มาก => ข้อสอบน้องใหม่ ไฟแรง

จัดสอบที่ไหน?
TOEFL อาคารมณียา BTS เพลินจิตและมีให้เลือกอีกหลายแห่ง ตรวจสอบข้อมูลจาก http://www.ets.org/bin/getprogram.cgi?urlSource=toefl&newRegURL=&test=TOEFL&greClosed=new&greClosedCountry=China&browserType=Firefox&toeflType=&redirect=&t_country1=group_Thailand
TOEIC ศูนย์สอบ TOEIC อาคาร B.B. ถนนอโศก
IELTS โรงแรม Pathumwan Princess

ค่าสมัคร? และสถานที่สอบ?
TOEFL $160 สมัคร online ที่ http://www.ets.org/bin/getprogram.cgi?test=toefl
TOEIC 1,000 บาท หากสมัครผ่านทางสถาบัน Kendall โทร. 02 245 6355
IELTS 5,700 บาท สมัครที่ British Council ดูรายละเอียดที่http://www.britishcouncil.org/TH/thailand-exams-ielts-registration-fees.htm

วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

จ้ำจี้มะเขือเปาะ กระเทาะหน้าแว่น พายเรืออ้อนแอ้น กระแท่นต้นกุ่ม สาวๆ หนุ่มๆ อาบน้ำท่าไหน อาบน้ำท่าวัด เอาแป้งที่ไหนผัด เอากระจกที่ไหนส่อง เยี่ยมๆ มองๆ นกขุนทองร้องกรู๊

Q:  จ้ำจี้มะเขือเปาะ กระเทาะหน้าแว่น พายเรืออ้อนแอ้น กระแท่นต้นกุ่ม สาวๆ หนุ่มๆ อาบน้ำท่าไหน อาบน้ำท่าวัด เอาแป้งที่ไหนผัด เอากระจกที่ไหนส่อง เยี่ยมๆ มองๆ นกขุนทองร้องกรู๊

ใครจะนึกบ้างว่า บทอาขยาน นี้จะแทรกคติธรรมเอาไว้ อย่างลึกซึ้ง ก็ที่ว่า

จ้ำจี้ นั้น น่าจะหมายความว่า ผู้ใด ถูกผู้หนึ่ง จ้ำจี้จ้ำไช

รูปมะเขือขื่น/มะเขือเปาะ

มะเขือเปาะ 
  น่าจะหมายความว่า ผู้ใด ถูกผู้หนึ่ง จ้ำจี้จำไช ย่อมได้รับความขมขื่นเหมือนเคี้ยวกลืนลูกมะเขื่อขื่น
กระเทาะหน้าแว่น น่าจะหมายความว่า ผู้ที่ถูกจ้ำจี้จำไชนั้น ย่อมมีทั้งที่ สายตาสั้น สายตายาว และสายตาเอียง ก็เลยต้องใส่แว่น บ้างก็ใส่แว่นสีชา สีดำ สีฟ้า สีเหลือง ฯลฯ ฉะนั้น เมื่อ ใส่แว่นสีอะไร ก็ย่อมที่จะเห็น ภาพเป็นสีนั้นๆ การที่จะทำให้ผู้ที่ถูกจำจี้จำไช มองเห็นภาพ ตามความเป็นจริง ก็ต้อง กระเทาะแว่นตาของเขาผู้นั้นออกเสียก่อน
พายเรือ อกแอ่น (อ้อนแอ้น) น่าจะหมายความว่า คนที่ถูกจ้ำจี้จำไช นั้น เกิดความขมขื่น เหมือนกลืนมะเขือขื่นแล้ว ก็คงจะพายเรือหนี เพราะไม่ชอบที่จะฟัง คำจ้ำจี้จำไช นั้นต่อไป พายเรืออ้อนแอ้นไปมา ใน ห้วง โอฆสงสาร (โอฆสงสาร เป็นภาษาบาลี เป็นคำนาม แปลว่า การเวียนเกิดเวียนตายในห้วงของกิเลส. 
กระแท่นต้นกุ่ม น่าจะหมายความว่า พายเรือ จ้ำพาย ได้อย่างกระท่อนกระแท่น สะเปะสะปะ ไปถูกต้น กุ่ม ทำให้ดูน่า สมเพชเวทนายิ่งนัก
ภาพต้นกุ่ม 


สาวๆ หนุ่มๆ อาบน้ำท่าไหน อาบน้ำท่าวัด น่าจะหมายความว่า ก่อนจะพายเรือออกไปจากท่านั้นน่ะ อาบน้ำที่ท่าน้ำของวัดไหน?

อนึ่ง การอาบน้ำ นั้น พระท่านมักที่จะเปรียบเปรยว่าการ  ทำดี แต่ไม่ละชั่ว เหมือนแต่งตัว แต่ไม่อาบน้ำ  การ ละชั่ว แต่ไม่ทำดี ก็เหมือนอาบน้ำ แต่ไม่แต่งตัว (หรืออาจจะหมายความว่า ท่านมีวัดไหน มีพระเถระ องค์ไหนเป็นที่พึ่งที่ระลึก? ในยามที่ท่านพายเรือ อยู่ในห้วง วัฎสงสาร)

เอาแป้งที่ไหนผัด น่าจะหมายความว่า คุณงามความดี อันเปรียบเสมือน แป้ง ที่ใช้ฉาบทา ตัว ท่านนั้น ท่านมีแล้วหรือยัง? ท่านทำความดี หรือแสวงหาความดี ดังเช่นแสวงหาแป้งเพื่อเอาไว้ผัดทาตน แล้วหรือยัง?

เอากระจกที่ไหนส่อง น่าจะหมายความว่า ท่านมี กัลยาณมิตร ที่เปรียบเสมือนกระจก เพื่อเอาไว้ส่องความดี ความเลว ของท่านแล้วหรือยัง (เอากระจกที่ไหนส่อง)

เยี่ยมๆ มองๆ น่าจะหมายความว่า กระจกนั้น มีเอาไว้เพื่อ เมียงมอง ให้เห็น ว่า แป้งที่ท่านผัดบนใบหน้าของท่านนั้น งามหน้า  ดีหรือไม่นั่นเอง

นกขุนทองร้องกรู๊ น่าจะหมายความว่า  เสียงนกเสียงกา ที่คอยจะมาร้องทัก ท่าน เสียงนกขุนทองร้องกรู๊ นี้ ก็คือหนึ่งใน โลกธรรมแปด นั่นคือ คำสรรเสริญ ซึ่งคู่กับ คำนินทา หากท่านไม่ชื่นชมยินดี เมื่อถูกสรรเสริญ ท่านก็ย่อมไม่เศร้าสร้อย เมื่อถูกนินทา เสียงต่างๆ ก็ย่อมเหมือนกับเสียงนกเสียงกา นั่นเอง 

เมื่อเขียนถึง ว่าด้วยเรื่องการอาบน้ำ ที่ท่าน้ำนี้ ก็อดคิดถึง พระลอ เสียมิได้ พระลอนั้น ก่อนที่จะเสด็จไป หาพระเพื่อนพระแพงที่เมืองสอง ก็ได้ หยุดพัก สรงน้ำ ที่ริมฝั่ง แม่น้ำกาหลง 

ในครานั้น พระลอได้ เสี่ยง(ทาย)น้ำ ว่าหากไป ไปเมืองสอง ถ้าบ่รอดกลับคืนมา ก็ขอให้น้ำในแม่น้ำกาหลงซึ่งไหลเชี่ยวกรากอยู่นี้ จงเปลี่ยนเป็นไหลวน ด้วยเถิด เพี้ยง และแล้วน้ำในแม่น้ำกาหลงซึ่งไหลเชี่ยวกรากอยู่นั้น ก็ไหลวนข้นขุ่นเป็นสีแดง ดัง คำโคลงที่ว่า

๒๙๖ มากูจะเสี่ยงน้ำ-                    นองไป ปรี่นา
(แม่)น้ำชื่อกาหลงไหล-                 เชี่ยวแท้
ผิว์ กูจะคลาไคล-                          บ รอด คืนนา
น้ำจุ่งเวียนวนแม้-                         รอดไส้(ไซร้)จงไหล

๒๙๗ ครั้นวางพระโอษฐน้ำ-           เวียนวน อยู่นา
เห็นแก่ตา แดงกล-                        เลือดย้อม
หฤทัย รทดทน                             ทุกข์ใหญ่ หลวงนา
ถนัดดั่งไม้ร้อยอ้อม                       เท่าท้าวทับทรวง ฯ

๒๙๘ บ ให้คนรู้เรื่อง-                   ฝืนใจ อยู่นา
ขึ้นจากสรงเสด็จใน-                    อาสน์ไท้
ยังสุวรรณพพลาไชย                   ใจดั่ง นี้นา
ปิดม่านละห้อยไห้                      ออกท้าวบุญเหลือ ลูกเอย

๒๙๙ พระตายจงลูกได้-              เห็นผี ท่านนา
ผีลูกตาย กษัตรีย์                       แม่ได้-
เผาศพลูก อย่ามี-                      อุจาด ราแม่
ฤๅบ่ร้างเผาผีไท้                        บ่ร้างได้เผาผี ลูกเอย ฯ 


เมื่อพระลอ ทราบผลการเสี่ยงน้ำ ก็ให้รู้สึกเหมือนกับว่ามี ต้นไม้ใหญ่ซึ่งมีขนาดลำต้นเท่าคนร้อยคนโอบด้วยอ้อมแขน มาล้มทับที่อกของตน หลังจากทรงสรงน้ำเสร็จ ก็เสด็จขึ้นจากท่าสรงน้ำนั้น โดยที่มิได้เอ่ยปากให้ข้าราชบริพารได้รับรู้ จากนั้นก็ทรงเสด็จเข้าสู่พลับพลาที่ประทับ ทรงพระกรรแสง แต่ทั้งๆ ที่รู้ ว่าหากไปเมืองสอง แล้วจะไม่รอดกลับมา แต่ก็ยังคงดื้อรั้นที่จะไป ด้วยเพราะอำนาจแห่งกิเลสตัณหา พระลอนึกในใจว่าแม้นตัวตายก็ยังมี พระนางบุญเหลือ (พระมารดา) คอยเป็นธุระเผาศพ กวีบรรยายความไว้อย่างกินใจ



อนุสติ
 

เวลาอาบน้ำอาบท่า ก่อนที่จะไปทำการทำงานที่ไหนทุกครั้ง ก็ควรที่จะลองเสี่ยงน้ำ กันดูบ้าง

คนอย่างพระลอ นั้น รูปงาม แต่ไม่มีสมอง รู้ทั้งรู้ว่า หากกระทำการณ์บางอย่างแล้วได้ไม่คุ้มเสีย แต่ก็ยังดื้อ ยังรั้นที่จะทำ (พระลอรู้ชะตากรรมของตนเอง จากการเสี่ยงน้ำนั้น) ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดเลย  ยังดีที่ พระลอยังมี พระนางบุญเหลือ (พระมารดา) คอยทำศพให้ ในยามที่ เสด็จสวรรคาลัย

หันกลับมามองคนในยุคนี้สมัยนี้ คนบางคนนี่สิ น้ำก็ไม่รู้จักที่จะเสี่ยง แถมจะไปทำอะไรที่ไหน ก็ยังไม่ชัดแจ้งด้วยวัตถุประสงค์ แต่ก็ยังคิดที่จะไป เห้อ   สงสัย เป็น พระลอ กลับชาติมาเกิดกันล่ะหนอ ว่าแต่ว่า ถ้าไปแล้วบ่รอด กลับคืนมา ใครจะเป็นธุระเผาผี ให้ล่ะนั่น



อ้างอิง

(1) มะเขือเปราะ BRINJAL [cited 2008 November 10]. Available from:  http://www.thaiinfonet.com/user/fruit_vegetables/page4.html


(2) มะเอ๋ย เขือเปราะ BRINJAL [cited 2008 November 10]. Available from: http://edtech.kku.ac.th/~s47321275012/475050280-5/page6.html

(3) พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ฉบับออนไลน์ [cited 2008 November 11].  Available from: URL; http://rirs3.royin.go.th/new-search/word-search-all-x.asp

(4) ต้นกุ่ม [cited 2008 November 11].  Available from: URL; http://www.rakbankerd.com/agriculture/wb/view.php?Category=agriculture&pic=1207301550_96391207301550_9639.jpg

(5) ลิลิตพระลอ  [cited 2008 November 10]. Available from:http://olddreamz.com/bookshelf/praloh/content3.htm

วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ยูเนสโก ยกย่อง “ร.7-พระศรีพัชรินทราฯ-หม่อมงามจิตต์” เป็นบุคคลสำคัญของโลกปี 56

ปลัดศธ.เผยยูเนสโก ยกย่อง ร.7-พระศรีพัชรินทราฯ-หม่อมงามจิตต์ เป็นบุคคลสำคัญระดับโลกที่ทำคุณงามความดีและทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติอย่างรวมถึงมีคุณูปการต่อการศึกษา 
ยูเนสโก ยกย่อง “ร.7-พระศรีพัชรินทราฯ-หม่อมงามจิตต์” เป็นบุคคลสำคัญของโลกปี 56
        วันนี้ (21 พ.ย.) นางสุทธศรี วงษ์สมาน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ประชุมสมัยสามัญขององค์การ การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ครั้งที่ 37 ณ สำนักงานใหญ่ UNESCO กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ได้ประกาศยกย่องบุคคลสำคัญของโลกและร่วมเฉลิมฉลองประจำปี 2556 ซึ่งในส่วนของประเทศไทยได้รับการยกย่องบุคคลสำคัญของโลกและร่วมเฉลิมฉลองตามที่มีหน่วยงานเสนอพระปรมาภิไธย พระนามาภิไธย และเสนอชื่อผู้ที่มีผลงานดีเด่นให้ยูเนสโก ดังนี้ 1.พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกฯ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 เสนอโดยสถาบันพระปกเกล้า เพื่อเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปี ในการประกอบพระราชกรณียกิจในประเทศไทย หลังจากเสด็จฯกลับจากการศึกษา ณ ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2457 และเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสวันพระราชสมภพครบรอบ 10 ปีนักษัตร ในวันที่ 8 พฤศจิกายนนี้ ในฐานะที่ทรงมีผลงานดีเด่นด้านการศึกษา วิทยาศาสตร์ วัฒนธรรม สังคมศาสตร์ และสื่อสารมวลชน 2.สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ เสนอโดยราชินีมูลนิธิ เพื่อเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสวันพระราชสมภพครบ 150 ปี วันที่ 1 มกราคม 2556 ในฐานะที่ทรงมีผลงานดีเด่นด้านการศึกษาสำหรับเด็กหญิงและสตรี การศึกษาด้านสาธารณสุขศาสตร์ วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ประยุกต์ และสังคมและมนุษย์ศาสตร์ และ 3.หม่อมงามจิตต์ บุรฉัตร เสนอโดยมูลนิธิอนุสรณ์หม่อมงามจิตต์ บุรฉัตร เพื่อฉลองครบรอบ 100 ปีชาตกาล ในปี พ.ศ.2558 เนื่องจากเป็นผู้มีผลงานดีเด่นด้านสังคมสงเคราะห์ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การพัฒนาชุมชน และการศึกษาด้านวัฒนธรรม
      
        นางสุทธศรี กล่าวต่อว่า บุคคลดีเด่นทั้งของไทยที่ยูเนสโกยกย่องให้เป็นบุคคลสำคัญระดับโลกมีคุณงามความดีที่ทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติอย่างมาก และมีคุณูปการต่อการศึกษาไทยด้วย ส่วนการร่วมเฉลิมฉลองบุคคลดีเด่นในธรรมเนียมปฏิบัติที่ผ่านมา ศธ.จะร่วมกับผู้เสนอจัดงานเฉลิมฉลอง โดยตนได้มอบเป็นนโยบายให้หารือกับหน่วยงานที่เสนอว่าหากจะจัดเฉลิมฉลองพร้อมกันทั้งสามท่านจะได้หรือไม่ แต่ที่ผ่านมาแต่ละหน่วยงานจะไปจัดเฉลิมฉลอง และ ศธ.จะเข้าไปร่วมด้วย ซึ่ง ศธ.จะประสานไปยัง 3 หน่วยงานเพื่อร่วมเฉลิมฉลองด้วย

Credit : http://www.manager.co.th

วันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

Amélie


       Amélie (FrenchLe Fabuleux Destin d'Amélie Poulain (French pronunciation: ​[lə.fa.by.lø.dɛs.tɛ̃.da.me.li.puˈlɛ̃]); The Fabulous Destiny of Amélie Poulain) is a 2001romantic comedy film directed by Jean-Pierre Jeunet. Written by Jeunet with Guillaume Laurant, the film is a whimsical depiction of contemporary Parisian life, set in Montmartre. It tells the story of a shy waitress, played by Audrey Tautou, who decides to change the lives of those around her for the better, while struggling with her own isolation. The film was an international co-production between companies in France and Germany. Grossing over $33 million in limited theatrical release, it is still the highest-grossing French-language film released in the United States.
The film met with critical acclaim and was a major box-office success. Amélie won Best Film at the European Film Awards; it won four César Awards (including Best Film andBest Director), two BAFTA Awards (including Best Original Screenplay), and was nominated for five Academy Awards. A Broadway adaptation is in development.

วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

นิรโทษกรรม คืออะไร...รู้ไหม? ไทยเคยใช้แล้ว 23 ฉบับ



พรบ นิรโทษกรรม


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม


          นิรโทษกรรม คืออะไร ทำไมถึงมีคนจำนวนมากออกมาต่อต้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอย มารู้จักว่า พ.ร.บ.นิรโทษกรรม คืออะไร แบบเต็ม ๆ

            
กำลังเป็นประเด็นร้อนแรงที่สุดในชั่วโมงนี้ เมื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีมติผ่านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับสุดซอย ที่แปรญัตติให้เป็นการละเว้นโทษให้กับผู้กระทำผิดที่เกี่ยวข้องกับทางการเมือง ตั้งแต่ปี 2547 จนถึงวันที่ 8 สิงหาคม 2556 
            แน่นอนว่า หลังจากร่างกฎหมายฉบับนี้ผ่านสภาฯ ในวาระ 3 ก็ได้ปลุกให้คนจำนวนมากออกมาแสดงจุดยืนไม่เห็นด้วย และนัดชุมนุมกันตามจุดต่าง ๆ เพื่อเดินหน้าต่อต้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ให้ถึงที่สุด เพราะมองว่า กฎหมายฉบับนี้มีการสอดไส้เพื่อล้างผิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะคดีตากใบ เมื่อปี 2547 ซึ่งเป็นคดีที่เกิดขึ้นก่อนรัฐประหารปี 2549 แต่จะได้รับการล้างผิดไปด้วย

          ...พูดถึงคำว่า "นิรโทษกรรม" แล้ว หลายคนอาจสงสัยว่า คำว่า "นิรโทษกรรม" มีความหมายครอบคลุมแค่ไหน?

          ในทางกฎหมายจะแบ่งความหมายของ "นิรโทษกรรม" (Amnesty) ไว้ 2 แบบ คือ

           นิรโทษกรรม (ตามกฎหมายแพ่ง) หมายถึง การกระทําที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ซึ่งกฎหมายบัญญัติว่า ไม่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เช่น การกระทำการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย การกระทำตามคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมาย

             นิรโทษกรรม (ตามกฎหมายอาญา) หมายถึง การลบล้างการกระทําความผิดอาญาที่บุคคลได้กระทํามาแล้ว โดยมีกฎหมายที่ออกภายหลังการกระทำผิดกำหนดให้การกระทำนั้นไม่เป็นความผิด และให้ผู้ที่ได้กระทําการนั้นพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิด

          หากถอดความหมายจากตัวอักษรดู ก็จะเข้าใจได้ว่า "นิรโทษกรรม" คือ การออกกฎหมายยกเลิกความผิดนั้นให้กับผู้ที่กระทำผิด ทำให้ผู้ที่กระทำผิดไม่ต้องรับโทษ เพราะถือว่าการกระทำนั้นไม่เป็นความผิด ส่วนผู้ที่รับโทษไปแล้วก็ให้พ้นจากการเป็นผู้กระทำผิด นอกจากนี้ ทางการจะไม่สามารถรื้อคดีต่าง ๆ ที่ได้รับการนิรโทษกรรมไปแล้วกลับมาสืบสวนหาความจริงได้อีกเลย เพราะกฎหมายนิรโทษกรรมที่ออกมาจะทำให้การกระทำนั้น ๆ ไม่เป็นความผิดโดยสมบูรณ์ 

          เท่ากับว่า "นิรโทษกรรม" คือการลบล้างความผิดทุกอย่าง และเป็นยิ่งกว่า "การอภัยโทษ" เพราะการอภัยโทษนั้น ไม่ว่าจะเป็นการยกเว้นโทษให้ทั้งหมด หรือบางส่วน แต่ก็ยังถือว่าผู้นั้นเคยกระทำผิด และเคยต้องคำพิพากษามาก่อน ขณะที่ "นิรโทษกรรม" จะให้ถือว่าผู้นั้นไม่เคยกระทำผิดมาก่อนเลย 


พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

นอกจากนี้ กฎหมายนิรโทษกรรม ยังแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ

           1. การนิรโทษกรรมเป็นการทั่วไป หรือการนิรโทษกรรมโดยเฉพาะเจาะจง เช่น การนิรโทษกรรมให้แก่ผู้กระทำความผิดทางการเมือง (Political  Offence) ทุกประเภท หรือ ให้เฉพาะแก่ผู้กระทำความผิดกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นพิเศษโดยกำหนดไว้ชัดเจน

           2. การนิรโทษกรรมโดยมีเงื่อนไข หรือโดยไม่มีเงื่อนไข หมายถึงว่า การนิรโทษกรรมนั้นเป็นการนิรโทษกรรมที่เด็ดขาดหรือไม่ หากเป็นการนิรโทษกรรมเด็ดขาด ไม่มีเงื่อนไข ก็จะทำให้บุคคลนั้นไม่ได้เป็นผู้กระทำผิดไปโดยปริยาย แต่หากเป็นการนิรโทษกรรมที่มีเงื่อนไข ผู้ที่กระทำผิดจะต้องปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่งที่กฎหมายกำหนดไว้ให้เรียบร้อยก่อน จึงจะได้รับการนิรโทษกรรม

          ทั้งนี้ ผู้ที่มีอำนาจในการออกกฎหมายนิรโทษกรรม คือ "รัฐสภา" เพราะถือว่าเป็นการออกกฎหมายย้อนหลัง เพื่อให้คุณแก่ผู้กระทำความผิด และต้องตราขึ้นเป็น "พระราชบัญญัติ" เท่านั้น เว้นแต่กรณีเร่งด่วน รัฐบาลสามารถตราเป็นพระราชกำหนดนิรโทษกรรมขึ้นบังคับได้ โดยต้องผ่านความเห็นชอบของฝ่ายนิติบัญญัติในภายหลัง

          ...เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วการออกพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม น่าจะมีข้อดี หรือข้อเสียอย่างไรบ้าง ?

          หากมองในแง่ดี การนิรโทษกรรม ก็คือการให้อภัยซึ่งกันและกัน เป็นการเปิดทางเพื่อสร้างความสมานฉันท์ให้บ้านเมือง อย่างเช่นหลังสิ้นสุดสงคราม ทางการอาจประกาศนิรโทษกรรมให้พลเมืองที่ร่วมกันก่อกบฏ เพื่อให้คนที่ยังหลบหนีปรากฏตัว และเป็นการกระตุ้นให้เกิดความปรองดองกันระหว่างผู้ละเมิดกับสังคม ซึ่งผู้ที่พ้นความผิดไปแล้วอาจเรียกสิทธิบางอย่างที่สูญเสียไปกลับคืนมาได้ เช่น สิทธิการเลือกตั้ง สิทธิที่จะเข้ารับราชการ
          แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง การออกกฎหมายนิรโทษกรรม อาจเป็นการสร้างบรรทัดฐานที่ไม่ดีให้แก่สังคม เพราะอาจทำให้คนที่มีอำนาจไม่เกรงกลัวกฎหมาย หากทำอะไรผิดกฎหมายไป ก็สามารถมาออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กลุ่มของตัวเองภายหลังได้ นี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้มีคนออกมาคัดค้านการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เพราะเกรงว่าผู้ที่เสียหายจากเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมืองจะไม่ได้รับความเป็นธรรม


เสื้อแดง


          อย่างไรก็ตาม หากย้อนกลับไปในอดีต จะเห็นว่าประเทศไทยเคยออกกฎหมายนิรโทษกรรมมาแล้วถึง 23 ครั้ง นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 โดยใน 23 ครั้งนี้ ออกเป็นพระราชบัญญัติ 19 ฉบับ และพระราชกำหนด 4 ฉบับ ซึ่งมีทั้งการนิรโทษกรรมในความผิดทางก่อกบฏ ก่อรัฐประหาร การชุมนุมทางการเมือง ดังนี้ 

           1. พระราชกำหนดนิรโทษกรรมในคราวเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดิน พ.ศ. 2475 ประกาศโดยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อให้การกระทำทั้งหลายของคณะราษฎรในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ไม่ให้เป็นการละเมิดบทกฎหมาย

           2. พระราชบัญญัตินิรโทษกรรมในการจัดการให้คณะรัฐมนตรีลาออก เพื่อให้มีการเปิดสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2476 ออกโดย พระยาพหลพลพยุหเสนา หลังทำการรัฐประหารรัฐบาลพระยามโนปกรณ์นิติธาดา
           3. พระราชกำหนดนิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำความผิดฐานกบฏและจลาจล พ.ศ. 2488 ออกโดย นายควง อภัยวงศ์ เพื่อยกโทษให้กระทำความผิดฐานกบฏและจลาจล  
 
           4. พระราชบัญญัติอนุมัติพระราชกำหนดนิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำความผิดฐานกบฏและจลาจล พ.ศ. 2488 ออกโดย นายควง อภัยวงศ์ เพื่อปลดปล่อยนักโทษทางการเมืองให้เป็นอิสระ
           5. พระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำการต่อต้านการดำเนินการสงครามของญี่ปุ่น พ.ศ 2489 ออกโดย นายปรีดี พนมยงค์ เพื่อยกโทษให้ผู้ที่ต่อต้านญี่ปุ่น ในช่วงที่ทหารญี่ปุ่นเข้ามายังประเทศไทย สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2  

           6. พระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำรัฐประหาร พ.ศ. 2490 ออกโดย นายควง อภัยวงศ์ เพื่อนิรโทษกรรมให้ผู้ที่ทำการรัฐประหารรัฐบาล พล.ร.ต.ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์

           7. พระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ที่ได้นำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2475 กลับมาใช้ พ.ศ. 2494 ออกโดย จอมพล ป. พิบูลสงคราม ในครั้งที่ทำการรัฐประหารยึดอำนาจตัวเอง 

           8. พระราชบัญญัตินิรโทษกรรมในโอกาสครบ 25 พุทธศตวรรษ พ.ศ. 2499 ออกโดย จอมพล ป. พิบูลสงคราม เพื่อยกโทษความผิดฐานกบฏจลาจล เนื่องในโอกาสที่พระพุทธศาสนาได้ยั่งยืนมาครบ 25 ศตวรรษ

           9. พระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำการยึดอำนาจการบริหารราชการแผ่นดินเมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2500 พ.ศ. 2500 ออกโดย นายพจน์ สารสิน เพื่อนิรโทษกรรมให้ผู้ที่รัฐประหารรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม โดยระบุด้วยว่า สาเหตุของการทำรัฐประหาร เนื่องจากรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม มีการใช้อำนาจอันไม่เป็นธรรม ทำให้ประชาชนเดือดร้อนและหวาดกลัว 

           10. พระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำการปฏิวัติเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 พ.ศ. 2502 ออกโดย จอมพลถนอม กิตติขจร หลังจากจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ประกาศยึดอำนาจ โดยระบุว่า เป็นการรัฐประหารเพื่อกำจัดภัยคอมมิวนิสต์ที่อาจเข้ามายึดครองประเทศไทย

           11. พระราชบัญญัตินิรโทษกรรมในโอกาสครบ 25 พุทธศตวรรษ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2502 ออกโดย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เพื่อแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมในโอกาสครบ 25 พุทธศตวรรษ พ.ศ. 2499

           12. พระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำการปฏิวัติ เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 พ.ศ. 2515 ออกโดย จอมพลถนอม กิตติขจร เพื่อนิรโทษกรรมให้ผู้ที่ร่วมทำการปฏิวัติ โดยครั้งนี้เป็นการปฏิวัติตัวเอง เพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่อาจเป็นอันตรายต่อชาติ และกำหนดกลไกการปกครองที่เหมาะสมเสียใหม่
           13. พระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่นักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชน ซึ่งกระทำความผิดเกี่ยวเนื่องกับการเดินขบวนเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2516 พ.ศ. 2616 ออกโดย นายสัญญา ธรรมศักดิ์ เพื่อนิรโทษกรรมให้นิสิตนักศึกษาที่เดินขบวนเรียกร้องในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 

           14. พระราชบัญญัติยกเลิกคำสั่งของหัวหน้าคณะปฏิวัติที่ 36/2515 ลงวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2515 พ.ศ. 2517 ออกโดย นายสัญญา ธรรมศักดิ์ เพื่อนิรโทษกรรมให้ นายอุทัย พิมพ์ใจชน นายอนันต์ ภักดิ์ประไพ และนายบุญเกิด หิรัญคำ

           15. พระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำการยึดอำนาจการปกครองประเทศ เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 พ.ศ. 2519 ออกโดย นายธานินทร์ กรัยวิเชียร เพื่อนิรโทษกรรมให้ผู้ที่ทำการรัฐประหารในครั้งนั้น ซึ่งนำโดยพลเรือเอกสงัด ชลออยู่ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด

           16. พระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำการอันเป็นความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร ระหว่างวันที่ 25 และวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2520 พ.ศ. 2520 ออกโดย พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เพื่อยกโทษให้ผู้ที่พยายามก่อรัฐประหารรัฐบาลของนายธานินทร์ กรัยวิเชียร แต่ไม่สำเร็จ
           17. พระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำการยึดอำนาจการปกครองแผ่นดิน เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2520 พ.ศ. 2520 ออกโดย พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เพื่อนิรโทษกรรมให้การรัฐประหารตัวเอง

           18. พระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องในการชุมนุมในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ระหว่างวันที่ 4 ถึงวันที่ 6 ตุลาคม 2519 พ.ศ. 2521 ออกโดย พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เพื่อนิรโทษกรรมให้ผู้ชุมนุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519
           19. พระราชกำหนดนิรโทษกรรมแก่ผู้ก่อความไม่สงบเพื่อยึดอำนาจการปกครองแผ่นดิน ระหว่างวันที่ 31 มีนาคม ถึงวันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2524 พ.ศ. 2524 ออกโดย พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เพื่อนิรโทษกรรมให้กลุ่มยังเติร์กที่พยายามก่อรัฐประหารรัฐบาลพลเอกเปรม แต่ไม่สำเร็จ

           20. พระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ก่อความไม่สงบเพื่อยึดอำนาจการปกครองแผ่นดิน ระหว่างวันที่ 8 และวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2528 พ.ศ. 2531 ออกโดย พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เพื่อนิรโทษกรรมให้กลุ่ม "กบฏ 9 กันยา" ที่พยายามรัฐประหารรัฐบาลพลเอกชาติชาย

           21. พระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำการอันเป็นความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร ตามประมวลกฎหมายอาญาและความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ พ.ศ. 2532 ออกโดย พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เพื่อนิรโทษกรรมให้ผู้ที่ได้กระทำความผิดตามกฎหมายปราบปรามคอมมิวนิสต์

           22. พระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำการยึดและควบคุมอำนาจการปกครองแผ่นดิน เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 พ.ศ. 2534 ออกโดย นายอานันท์ ปันยารชุน เพื่อยกโทษให้คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ที่กระทำการรัฐประหารรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ

           23. พระราชกำหนดนิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำความผิดเนื่องในการชุมนุมกันระหว่างวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 ถึงวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 พ.ศ. 2535 ออกโดย พลเอกสุจินดา คราประยูร เพื่อยกโทษบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์การชุมนุมพฤษภาทมิฬทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นตัวการ ผู้สนับสนุน ทหารที่ปราบปรามประชาชน รวมทั้งผู้ชุมนุม

          สำหรับในปี พ.ศ. 2556 นี้ จะมีการออกพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม เพื่อล้างความผิดให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทางการเมือง ระหว่างปี 2547-2556 หรือไม่ ก็ต้องจับตาดูกันต่อไป

 ติดตามข่าวนิรโทษกรรม แบบอัพเดททั้งหมดคลิกเลย



 


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
คณะกรรมการพัฒนากฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
kodmhai.com
ilaw.or.th

CREDIT : http://hilight.kapook.com/view/89598

ทำไมต้องเป่านกหวีด คัดค้านนิรโทษกรรม????



        การเป่านกหวีด หรือ Whistleblower เป็นวิธีการที่เริ่มขึ้นโดย Ralph Nader ซึ่งเป็นทั้งนักกฎหมาย นักเขียน และนักต่อสู้เพื่อสังคมชาวอเมริกัน ซึ่งเป็นบุคคลที่มีความสำคัญมากต่อประวัติศาสตร์ของสหรัอเมริกา ในปี ค.ศ.1970 Ralph Nader ตัดสินใจทำการเป่านกหวีด หรือ Whistleblower ในสภาเพื่อเตือนไปยังรัฐบาลที่เริ่มแสดงออกให้เห็นพฤติกรรมที่ทุจริตและไม่โปร่งใสในการบริหารบ้านเมือง

        นิรโทษกรรม คัดค้านนิรโทษกรรม ด้วยการเป่านกหวีด หรือ Whistleblower ครั้งนี้ จึงคล้ายกับการที่คนในประเทศเริ่มเห็นถึงความไม่โปร่งใส่ของการทำงานรัฐบาลที่ผลักดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ออกมา เป็นการส่งเสียงเตือนไปยังรัฐบาลว่ามีผู้คนหลายพันกำลังจับตามอง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม อยู่ และเป็นการสั่งให้รัฐบาลทำการหยุดดำเนินการ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ต่อไป

credit: boxza

วันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

9 วิธีรับประทานอาหารไม่ให้ง่วง เพื่อเตรียมตัวอ่านหนังสือ

ง่วงซึมหลังเที่ยง
ภาพจาก squidbrand.com
น้องๆ UniGang ที่กำลังเตรียมตัวสอบ GAT/PAT หรือสอบตรง ลองนำวิธีการเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้นะครับ น่าจะช่วยให้เราสามารถอ่านหนังสือได้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น หรือใครมีวิธีอ่านหนังสือแล้วไม่ให้ง่วงก็แชร์กันได้นะครับ

1. กินอาหารเช้าให้ถูกหลัก คือ กินภายใน 1ชั่วโมงแรกหลังจากตื่นนอน อาหารเช้าที่ดีจะช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดมีความสมดุลไปตลอดวัน แถมด้วยอาหารประเภทโปรตีนไขมันต่ำปริมาณเล็กน้อยในตอนเช้า และทุกมื้อระหว่างวัน เพราะจะให้พลังงานได้ยาวนาน เช่น ไข่ นมสักแก้ว โยเกิร์ต กับขนมปังธัญพืชปิ้งสักแผ่น

2. กินอาหารเที่ยงให้พลังงานสูง ประกอบด้วยโปรตีน และคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ซึ่งโปรตีนจะกระตุ้นสารในสมองคือ catecholamines ที่จะทำให้คุณกระฉับกระเฉง ลองเลือกไก่ (ต้องทำให้สุกๆ ก่อน) อาหารทะเล เนื้อ เต้าหู้ ถั่วต่างๆ เช่น ถั่วเหลือง น้ำเต้าหู้ ผักต่างๆ เช่น บล็อคโคลี ผักโขม หน่อไม้ฝรั่ง และผลไม้สัก 1 ส่วน

3. เลี่ยงสารกระตุ้น เช่น คาเฟอีน บุหรี่ เพราะเป็นตัวทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดแกว่งไกว การดื่มกาแฟยังทำให้ปัสสาวะบ่อย ซึ่งเป็นสาเหตุให้ร่างกายสูญเสียน้ำและระดับเกลือแร่

4. ดื่มน้ำเปล่า เพราะน้ำเปล่าไม่มีแคลอรี ไม่มีไขมัน ไม่มีโคเลสเตอรอล แต่จะช่วยระบบการเผาผลาญไขมันและฟื้นชีวิตชีวาคืนพลังงานให้กับร่างกายด้วย น้ำยังช่วยควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย ลำเลียงออกซิเจน ฮอร์โมน สารอาหาร ภูมิต้านทาน และเพิ่มประสิทธิภาพของโปรตีนและเอนไซม์ที่จำเป็นต่ำระบบเมตาบอลิซึมด้วย 

5. หยุดแอลกอฮอล์ เพราะอาจทำให้คุณรู้สึกเซื่องซึม เหตุผลคือร่างกายสูญเสียสารอาหาร โดยเฉพาะวิตามินบี (ไธอามีนและโพเลท) ซึ่งเป็นสารอาหารจำเป็นที่สมองต้องการ

6. เลือกกินเมื่อรู้สึกหิว ถ้าคุณรู้สึกเพลียให้กินผลไม้หรืออาหารที่มีส่วนผสมของธัญพืชต่างๆ แทน การกินของขบเคี้ยวที่มีน้ำตาลจะทำให้คุณกระชุ่มกระชวยเพียงชั่ววูบแล้วก็จะหมดแรงลงอย่างรวดเร็ว ทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงโซดาหรือน้ำหวานในช่วงบ่าย ของขบเคี้ยวแก้หิวเพื่อสุขภาพที่ขอแนะนำ เช่น คุกกี้ที่ผสมผลไม้ คุกกี้ผสมข้าวโอ๊ต องุ่นสักพวง โยเกิร์ต แครอท เซเลอรี ถั่วอัลมอนด์ เป็นต้น

7. หลับตาสักงีบ ถ้าคุณรู้สึกง่วงมากจริงๆ อย่างเลือกที่จะดื่มกาแฟ แต่ลองหลับตาหรืองีบสัก 10-15 นาที ก็จะช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้นมาก

8. อยู่ห่างๆ อาหารไขมันสูง เช่น ชีส เนย มาการีน ครีม อาหารทอดทั้งหลาย เพราะจะมีแคลอรี่สูง ร่างกายต้องใช้พลังงานเผาผลาญมาก และจะทำให้คุณรู้สึกเฉี่อยชา

9. ออกกำลังกาย เป็นทางที่ดีที่จะชาร์ตแบตเตอรี่คืนมาอีกครั้งให้ร่างกายตื่นตัว เมื่อรู้สึกเหนื่อยจนเอนเดอร์ฟินหลั่งในระดับสูง ก็จะช่วยให้อัตราการเผาผลาญของร่างกายมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นด้วย ซึ่งก็จะช่วยฟื้นพลังงานให้คุณ ลองง่ายๆ เดินรอบๆ บ้าน 10 นาที หรือนั่งอยู่กับโต๊ะอ่านหนังสือแล้วยืดกล้ามเนื้อ บิดบริหารร่างกายสักครู่ก็จะช่วยเพิ่มความตื่นตัวให้คุณได้พอควร

อาหารยอดฮิตในประเทศสเปน

Paella

Paella

อย่างแรกสุดเมื่อพูดถึงอาหารสเปน ย่อมหนีไม่พ้น Paella (ปาเอย่า) ข้าวผัดสเปนสีเหลืองชื่อดัง (เหมือนมาเมืองไทยต้องกินต้มยำกุ้งหรือผัดไทย)
จะเรียกให้ถูกแล้ว "ปาเอย่า" มันคือ "ข้าวอบ" ใส่กระทะร้อน หลักๆ คือเอาข้าวไปผัดกับเครื่องเทศ และใส่เนื้อสัตว์ลงไป (จะเป็นเนื้ออะไรก็ได้ แต่ส่วนใหญ่เป็นอาหารทะเล) แล้วเอาไปอบอีกที ดังนั้นกระบวนการทำจะต้องใช้เวลาสักหน่อย
ปาเอย่านั้นหากินได้ทั่วไปตามแหล่งทัวริสต์ในสเปน แต่หลายๆ กรณีที่พบคือจะเป็นข้าวผัดจานใหญ่สำหรับกิน 2 คนขึ้นไป (ราคามักคิดตามหัว บางครั้งถึงมีตามจาน) ในร้านราคาถูกบางแห่งว่ากันว่าเป็นปาเอย่าแช่แข็งเอามาอุ่นอีกทีหนึ่ง
สำหรับร้านที่กินปาเอย่าจานนี้เป็นห้องอาหารของโรงแรมที่อยู่บนถนนคนเดินระหว่าง Sol กับ Gran Via ในมาดริด (ลืมชื่อโรงแรมแล้วครับ) ค่าข้าวจานเดียว 15 ยูโร แต่จานใหญ่เครื่องเยอะ

Gambas al Ajillo

มันคือ "กุ้งกระเทียม" ครับ เอากุ้งไปผัดกระเทียม และอาจมีพริกแห้งบ้าง กินเปล่าๆ ก็ได้แต่ร้านที่กินก็ให้ข้าวมาเป็นเครื่องเคียงด้วย
P1012274
ร้านที่กินยังให้ซอสครีมขาวคล้ายๆ ซอสทาทาร์มาให้ด้วย ร้านอาหารสเปนส่วนใหญ่จะเสิร์ฟขนมปังเป็นออเดิร์ฟ และมักคิดราคา (โดยไม่ถาม) ถ้าไม่กินก็ไม่ต้องแตกต้องเค้าจะไม่คิดราคาครับ
P1012272
ร้านที่กินนี้ชื่อ Cafe de Levante อยู่แถวๆ ตรอกซอกซอยรอบๆ จัตุรัส Sol ในมาดริดอีกเช่นกัน ค่ากุ้ง+ข้าว รวมแล้ว 15 ยูโร
P1012280
อีกสูตรหนึ่ง อันนี้กินที่ใกล้ๆ โบสถ์ Sagrada Familia ในบาร์เซโลนา เป็นกุ้งเปล่าๆ เลยสั่งครอกเก้มากินด้วย
Food near Sagrada

Jamon

อาหารขึ้นชื่ออีกอย่างของสเปนคือ Jamon (คามอน หรือ ฮามอน) มันคือ "แฮม" นั่นเอง เป็นแฮมกินดิบๆ ไม่ต้องปรุงอะไรเป็นพิเศษ กินกับขนมปังหรือชีสก็ได้
Jamon ที่ดังและแพงที่สุดเรียก Jamon Iberico (แฮมแห่งคาบสมุทรไอบีเรีย) ต้องทำมาจากเนื้อหมูดำพันธุ์ไอบีเรียเท่านั้น ว่ากันว่าคนสเปนเห็น Jamon Iberico แบบฟรีๆ เป็นไม่ได้ เห็นแล้วต้องพุ่งเข้าใส่ทันที
P1012413
รสชาติมันจะต่างจากแฮมสดหรือเบคอนสด เพราะเนื้อจะตากจนแห้งและเหนียวครับ รสชาติจะออกเค็มเป็นพิเศษ (ซึ่งอาหารสเปนแท้จะเค็ม) กินเยอะๆ จะเลี่ยนพอสมควรครับ
นอกจากกินกับขนมปังแล้วก็ยังกินกับเมลอนเพื่อตัดเลี่ยนได้ด้วย
P1012930
Jamon Iberico นั้นแพงมาก กิโลหนึ่งเป็นหลักหลายพันบาทไทย ผมซื้อมาแพ็กเล็กๆ แค่ขีดสองขีดก็ซัดไปเกือบ 20 ยูโรแล้ว แต่ในสเปนเองก็ยังมี Jamon ประเภทอื่นๆ ที่ราคาลดหลั่นกันลงมาอีกมากมาย
สำหรับคนที่อยากลองซื้อ Jamon มากินเองหรือซื้อกลับมากินเมืองไทย ผมลองดูในเว็บสเปนแล้วเค้าแนะนำร้าน Museo Del Jamon (Jamon Museum) ซึ่งมีอยู่หลายสาขาในมาดริด ร้านนี้จะมีบาร์สำหรับยืนกิน Tapas ที่ทำมาจาก Jamon ด้วย

Chorizo

ไส้กรอกสเปนครับ แต่มันจะไม่ใช่ไส้กรอกแบบเยอรมันที่เราคุ้นเคยนะ มันเหมือนกุนเชียงหรือไส้กรอกอีสานบ้านเรามากกว่า ผมกินแล้วชอบมาก ปรุงรสอร่อยมีรสมีชาติดีมาก ส่วนใหญ่เอาไปทอดให้กินนั่นแหละ
P1013457
จานนี้กินแถวๆ โรงแรมในบาร์เซโลนา

Tortilla

Tortilla มันคือไข่เจียวสเปนครับ เค้าจะเอาไข่ไปผสมกับเครื่องบางอย่าง เช่น มันฝรั่ง หรือ หัวหอม แล้วทอดมาแบบอัดแน่นเป็นก้อน (ไม่ใช่แบบฟูๆ เหมือนไข่เจียวบ้านเรา) รอจนหายร้อนแล้วจะหั่นเป็นชิ้นๆ แล้วแต่สูตร ในภาพหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า แต่ที่โรงแรมหั่นแบบขนมเค้ก
P1012414
ผมกินแล้วเฉยๆ ไม่น่าประทับใจเท่าไรนะ

Calamares a la Romana

Calamari หรือปลาหมึกชุบแป้งทอด อันนี้ตรงไปตรงมาคือเอาปลาหมึกตัวใหญ่ๆ หน่อยไปชุบแป้งบางๆ แล้วทอดมาร้อนๆ กินตอนมาใหม่ๆ จะอร่อยมากแต่ถ้าทิ้งไว้นานแล้วจะเหนียวสักหน่อย
P1012933

Churro

ปาท่องโก๋สเปนครับ ตอนกินต้องจุ่มช็อกโกแลตร้อนด้วยนะ
San Gines - Churros
ผมตามลายแทงจากบล็อกข้างต้นไปกิน Churro ร้านดังของมาดริด ร้านชื่อว่า Chocolateria San Gines (Google Maps) ร้านจะอยู่กลางเมืองใกล้ๆ กับ Sol และ Plaza Mayor แต่จะอยู่ในซอกหลืบเล็กน้อย หาไม่ยากครับถ้าดูแผนที่ไปก่อน คือตรงนั้นมันจะมีอยู่ร้านเดียวและมีคนต่อคิวกันถล่มทลาย
San Gines
เปิดมาตั้งกะปี 1894 แน่ะ
San Gines
เปิดตลอดเวลาไม่มีวันหยุดด้วยครับ
San Gines
เข้าร้านไปแล้วจะต้องสั่งและจ่ายเงินก่อนกินครับ สั่งเสร็จแล้วเอาบิลไปนั่งที่โต๊ะ (ถ้าไปกันหลายคนให้เพื่อนไปจองโต๊ะก่อนได้ เค้ามีนอกร้านและชั้นใต้ดินด้วย) บ๋อยจะเดินมาเอาบิลกับเราแล้วเอามาเสิร์ฟให้
San Gines
รายการอาหาร ชุดมาตรฐาน 6 อัน + ช็อคโกแลต 3.8 ยูโร
San Gines

Mazapan

Mazapan เป็นขนมประเภทหนึ่งของสเปน อันนี้ผมไม่ได้กินอธิบายไม่ได้จริงๆ ว่ารสชาติเป็นอย่างไร ดูหน้าตาแล้วมันคือแป้งร่วนๆ เอามาทำเป็นรูปทรงต่างๆ แล้วแต่งสีเพิ่มลงไป
P1012877
ร้านขาย Mazapan ที่มีชื่อมากอยู่ในโทเลโด ชื่อ Santo Tome อยู่ตรงจัตุรัส Zodocover กลางเมืองเลย (ป้ายรถเมล์กลับสถานีรถไฟก็อยู่ตรงหน้าร้านนี้พอดี)
P1012878

Cafe & Te

เป็นเชนร้านอาหารแบบกึ่งๆ ฟาสต์ฟู้ดในสเปน มีอาหารหลายอย่าง ทั้งปาเอย่า พาสต้า พิซซ่า ซุป เบอร์เกอร์ ผมไปกินที่เมืองโทเลโด
P1012732
เมนู มีเกือบทุกอย่าง
P1012733
คนอินโดนีเซียที่ไปเที่ยวด้วยกัน กินลาซานย่า
P1012734
ผมกินเบอร์เกอร์กับมันทอดครับ อเมริกันจ๋าเลย
P1012736

Pans & Company

อันนี้เป็นเชนฟาสต์ฟู้ดตัวจริงของสเปน ชื่อ Pans & Company เปิดชนกับพวก McDonald's หรือ KFC ร้านจะใช้ธีมสีเหลืองเด่นเป็นสง่าเห็นแต่ไกลเสมอ
ได้กินร้านนี้เป็นมื้อสุดท้ายก่อนกลับที่สนามบินบาร์เซโลนาครับ (เช็คอินและเข้าไปด้านในแล้ว)
Barcelona Airport
เมนู ส่วนใหญ่เป็นแซนด์วิซไส้แฮม แต่ก็นำมาปรับให้ทันสมัย ใส่โน่นนี่เพิ่มเข้ามาด้วย
Barcelona Airport
ผมลองสั่งอันที่เขียนว่า Stick Beef แซนด์วิซเนื้อทอด ที่แปะอยู่ด้านบน
Barcelona Airport
อาหารขายเป็นชุดแบบเดียวกับฟาสต์ฟู้ดทั่วโลก เลือกไม่กินเฟรนฟราย แต่เปลี่ยนเป็นมันทอดแบบไม่กรอบแล้วราดซอสแทนได้ น้ำเปลี่ยนเป็นชาลิปตันแทนโค้กได้ กินแล้วพบว่าไม่ถึงกับอร่อยมาก (หรือว่าเราสั่งไม่ถูกอย่างเองก็ไม่รู้)
Barcelona Airport

อาหารอื่นๆ

ที่ยกมาส่วนใหญ่เป็นอาหารสเปนขนานแท้ แต่สเปนก็มีอาหารประเภทอื่นๆ อีกมากมายครับ ไหนๆ เขียนแล้วก็แปะรูปด้วยละกัน เริ่มจากหมูทอด pork loin ธรรมดา ในร้านคนจีนแถวๆ สถานีรถไฟ Sants ในบาร์เซโลนา (ร้านคนจีนจะถูกหน่อย เป็นเหมือนกันทั้งโลก)
Pork Fried
พยายามกินผักบ้าง สั่งสลัดมากินแนม คนแถวเมดิเตอเรเนียนชอบมะกอกกันมาก
P1012936
จานข้างล่างนี้สลัดร้านจีน ให้หน่อไม้มาด้วยเฉยเลย ฮาดี
P1013455
อีกอันที่คิดว่าควรเขียนถึงคือ "พวงเครื่องปรุง" ของร้านอาหารในสเปนครับ จะคล้ายๆ กับบ้านเราคือมี 4 อย่าง ได้แก่ เกลือ พริกไทย น้ำมันมะกอก และน้ำส้มสายชู (บางร้านเหลือสาม ไม่มีพริกไทย)
P1013456