วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ในธรรมชาติมีสัตว์มากมายที่เป็นเจ้าแห่งการพรางตัว อย่างภาพพวกนี้บางภาพต้องลองดูดีๆ ถึงจะเห็นว่ามีตัวอะไรซ่อนอยู่กันแน่
ที่มาจาก viralnova
เรียบเรียงโดย  http://www.everyday-readers.com/

1.

camouflage

นกฮูก



2.

camouflage2

 

camouflage3

Uroplatus geckos



3.

camouflage4

Willow ptarmigan



4.

camouflage5

คางคกใบไม้ (Leaf toads)



5.

camouflage6

หนอน Common baron caterpillar



6.

camouflage7

ม้าน้ำ



7.

camouflage8

แมงมุมทะเลทราย



8.

camouflage9

หนอน Adelpha serpa selerio caterpillar



9.

camouflage10

Stick insect



10.

camouflage11

กบ



11.

camouflage12

นกฮูก



12.

camouflage13

Tropidoderus childrenii



13.

camouflage14

Leaf-tailed gecko



14.

camouflage16

Great potoo



15.

camouflage18

จั๊กจั่น



16.

camouflage19

นกฮูก



17.

camouflage20

ยีราฟ



18.

camouflage21

เม่นแคระ

CREDIT : http://www.unigang.com/Article/17266

ปวดท้องจุดต่าง ๆ ทั้ง 9 จุด...หมายถึง



ปวดท้องจุดต่าง ๆ ทั้ง 9 จุด
    สาว ๆ มักปวดท้องแล้วก็งงว่า ตรูเป็นอะไรฟ่ะ ผมเลยหาข้อมูลมาให้ครับ
1. ชายโครงขวา เป็นจุดของตับและถุงน้ำดี
     หากกดแล้วเจอก้อนแข็ง ๆ บวกกับอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ก็จะหมายถึง
ความบกพร่องเกี่ยวกับตับหรือถุงน้ำดี ปวดมาก หาหมอดีกว่า
2. ใต้ลิ้นปี่ หรือกลางตัวเรา ตรงซี่โครงซี่ล่างสุด (กลางตัว) จะหมายถึง กระเพาะอาหาร ตับอ่อน ตับ และกระดูกลิ้นปี่
       - หากปวดเป็นประจำเวลาหิวหรืออิ่ม ก็หมายถึง อาจเกี่ยวกับโรคกระเพาะ
       - หากปวดรุนแรงร่วมกับคลื่นไส้อาเจียน อันนี้ตับอ่อนอักเสบ
        - หากคลำเจอก้อนเนื้อค่อนข้างแข็งและมีขนาดใหญ่ อาจหมายถึงตับโต (ปรึกษาหมอ)
        - คลำได้ก้อนสามเหลี่ยมแบนเล็ก ๆ มักเป็นกระดูกลิ้นปี่ อันนี้ก็ปรึกษาหมอ
3. ปวดชายโครงขวา เป็นตำแหน่งของม้าม หากเจ็บ ต้องปรึกษาหมอโดยด่วน
4. ปวดบั้นเอวขวา สาว ๆ เป็นกันประจำ ตำแหน่งนี้คือ ท่อไต ไต ลำไส้ใหญ่
    - ปวดมากจะหมายถึงลำไส้ใหญ่อักเสบ
    - ปวดร้าวถึงต้นขา อันนี้แรงหน่อย เริ่มต้นเป็นนิ่วในท่อไตครับ
    - ปวดร่วมกับปวดหลัง แถมมีไข้ หนาวสั่นด้วย ปัสสาวะขุ่น อันนี้แรงหน่อย กรวยไตอักเสบ อย่าฝืนนะครับ หาหมอดีกว่า
    - คลำเจอก้อนเนื้อ อันนี้ก็หาหมอวินิจฉัยด่วน
5. ปวดรอบสะดือ มันคือ ตำแหน่งลำไส้เล็ก มักพบในคนที่มักท้องเดิน  แต่หากกดแล้วปวดโครต ๆ มันคือไส้ติ่งครับ ปวดมาก ๆ หาหมอด่วน
 แต่ถ้าปวดแบบมีลมในท้องด้วย ก็ไม่เป็นไรมากครับ อาจแค่กระเพาะลำไส้ทำงานผิดปกติ (คงกินมากไป เหอะ ๆ)
6. ปวดบั้นนเอวซ้าย เป็นตำแหน่ง ท่อไต ไต ลำไส้ใหญ่ (เหมือนข้อ 4)
7. ปวดท้องน้อยขวา เป็นตำแหน่ง ไส้ติ่ง ท่อไต และปีกมดลูก
   - หากปวดเกร็งเป็นระยะ ๆ แล้วร้าวมาที่ต้นขา หมายถึงกรวยไตอาจเป็นอะไรสักอย่าง หาหมอครับ
   - ปวดเสียดตลอดเวลา กดแล้วเจ็บมาก อย่าทนครับ เพราะเป็นอาการของไส้ติ่งอักเสบ
   - ปวดร่วมกับมีไข้สูง หนาวสั่น มีตกขาว ผู้หญิงเท่านั้น่ที่เป็น เพราะมันคือ ปีกมดลูกอักเสบครับ
   - คลำแล้วเจอก้อนเนื้อ เบื้องต้นอาจเป็นก้อนไส้ติ่งหรือรังไข่ผิดปกติ
8. ปวดท้องน้อย มันเป็นตำแหน่งกระเพาะปัสสาวะและมดลูก
   - ปวดเวลาถ่ายปัสสาวะหรือถ่ายกระปริบกระปรอย เดาได้ง่ายเลย เพราะมันคือ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือแรงหน่อยคือ นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ (แต่เป็นกันน้อย)
  - ปวดเกร็งเวลามีประจำเดือน ไม่มีอะไรมาก คุณกำลังมีประจำเดือน แต่ในรายที่ปวดเรื้อรังในหญิงแต่งงานแล้วไม่มีบุตร ไม่อยากบอก ปรึกษาหมอโดยด่วนครับเพราะมันคืออาการมดลูกผิดปกติ
9. ปวดท้องน้อยซ้าย เป็นตำแหน่ง ปีกมดลูกและท่อไต
    - ปวดเกร็งเป็นระยะและร้าวมาที่ต้นขา มักเป็นนิ่วในท่อไต
    - ปวดร่วมกับมีไข้ หนาวสั่น ตกขาว เป็นเพราะมดลูกอักเสบ
    - ปวดร่วมกับถ่ายอุจจาระผิดปกติ อาจเป็นเพราะลำไส้ใหญ่อักเสบ
    - คลำพบก้อนร่วมกับอาการท้องผูกเป็นประจำ อาจเป็นเนื้องอกในลำไส้


เรียงเรียงข้อมูลจากการอ่านชีวจิต
Picture from http://www.dailymail.co.uk
CREDIT : http://www.unigang.com/Article/17268

ทำยังไง? ให้พร้อมที่สุดในช่วง 7 วันสุดท้ายก่อนสอบ O-NET

ทำยังไง? ให้พร้อมที่สุดในช่วง 7 วันสุดท้ายก่อนสอบ O-NET
 
         วัสดีค่าาาาา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตอนนี้น้องๆ ม.6 เครียดเรื่องอะไรที่สุด ถ้าไม่ใช่คิดถึงเพื่อนเพราะใกล้จบ ม.6 ก็คงเครียดเรื่องสอบโอเน็ต(O-NET) ในวันเสาร์-อาทิตย์หน้านี้ ซึ่งตลอดเดือน ม.ค.-ก.พ. พี่ๆ เว็บเด็กดี ทำบทความขึ้นมาหลายเรื่องเพื่อกระตุ้นให้น้องๆ เตรียมตัวสอบโอเน็ต ก็หวังว่าน้องๆ คงเตรียมตัวจนพร้อมที่จะลงสนามสอบจริงแล้วล่ะ แค่ 8 วิชาคงไม่เกินความสามารถของน้องๆ แน่นอน ฮิฮิ

            แต่เพื่อให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น พี่มิ้นท์ขนเอาเทคนิคเตรียมตัวในช่วงสัปดาห์สุดท้ายมาฝากกัน จะได้รู้ว่า 7 วันก่อนสอบ 3 วันก่อนสอบ และ 1 วันสุดท้ายก่อนสอบ O-NET ควรทำอะไร งานนี้ใครพร้อมกว่า เตรียมตัวได้ดีกว่า ได้เปรียบในสนามสอบ O-NET สุดๆ จ้า

    7 วันก่อนสอบ เริ่มตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป มีอะไรที่ควรทำบ้าง?
 
ทำยังไง? ให้พร้อมที่สุดในช่วง 7 วันสุดท้ายก่อนสอบ O-NET

           1. วางแผนไว้ว่าสัปดาห์นี้จะแบ่งเวลายังไง ม.6 โรงเรียนไหนยังไม่ปิดเทอม ต้องรัดกุมเรื่องเวลามากกว่าเดิมค่ะ คือถ้าเป็นไปได้ทำตาราง 1 อาทิตย์ไปเลย วันไหนทำอะไร กี่โมง ต้องทบทวนบทไหน ต้องส่งรายงานวันไหน เอาให้ละเอียดที่สุดเพื่อไม่ให้กระทบทั้งผลการเรียนและการสอบ O-NET
         
  2.  ดูรายละเอียดจาก สทศ.อีกที ว่าแต่ละวิชาออกเรื่องไหนอย่างละกี่ข้อ หรือเนื้อหาส่วนไหนมีน้ำหนักคะแนนสูงสุด (ใครยังไม่รู้ว่า สทศ.มีบอกจำนวนข้อสอบด้วย ไปหาอ่านด่วนก่อนจะไม่มีเวลาให้อ่าน) สำหรับคนที่รู้ตัวว่าอ่านไม่ทันแล้ว  ให้จดเอาไว้เตือนตัวเองเลยค่ะ จะได้เลือกอ่านเฉพาะหัวข้อที่จำเป็นและมีสัดส่วนคะแนนเยอะ เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินในห้องสอบ ทำไม่ทันเวลา จะได้เลือกทำข้อที่คะแนนเยอะๆ ค่ะ
         
 3. ท่องศัพท์ การท่องศัพท์อาจจะใช้เวลาไม่เยอะ แต่ควรทำตั้งแต่เนิ่นๆ ค่ะ ใครที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยท่องศัพท์ตุนเอาไว้เลย ขอให้เริ่มท่องศัพท์ได้แล้วนะคะ เป็นการเตรียมตัวสำหรับการสอบ O-NET ภาษาอังกฤษ แม้ว่าข้อสอบโอเน็ตจะไม่ยาก แต่ศัพท์แปลกๆ ยากๆ เยอะค่ะ
         
 4. เลือกชุดข้อสอบที่ยากมาทำทบทวนก่อนนอนวันละ 1 วิชา ก่อนหน้านี้้น้องๆ คงทำข้อสอบเก่าๆ จนทะลุปรุโปร่งจนพอจะรู้ว่าข้อสอบปีไหนง่าย ปีไหนยาก ให้เลือกข้อสอบยากๆ มาทำวันละ 1 วิชา ทำเสร็จ ตรวจคำตอบและอ่านเฉลยข้อที่ผิดด้วย และทำซ้ำอีกครั้งค่ะ น้องๆ อาจจะสงสัยว่าทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย ก็เพื่อฝึกวินัยตัวเองและเป็นการทบทวนเนื้อหาในระดับที่ยากกว่าเดิม (ข้อสอบเก่าง่ายๆ ทำได้คะแนนมาเยอะแล้ว ต้องทวนยากๆ ค่ะ) งานนี้หวังว่ารอบสองคงไม่มีใครคะแนนน้อยกว่าเดิมนะ
        
 5. ทำช้อตโน้ต สรุปย่อเรื่องสำคัญๆ เอาไว้ ซึ่งตรงนี้น้องอาจจะใช้ประโยชน์ต่อจากข้อ 2. ได้ คือดูว่า สทศ.จะออกเรื่องไหนเยอะเป็นพิเศษ ก็อ่านบทนั้นมากหน่อยและทำช้อตโน้ต สรุปเป็นความรู้ของตัวเองไว้แบบสั้นๆ ได้ใจความ ระหว่างที่เราเขียนก็เหมือนเป็นการทวนตัวเองไปในตัวแล้วค่ะ
 

    3 วันก่อนสอบ ต้องพร้อมมากกว่า 90%
 
ทำยังไง? ให้พร้อมที่สุดในช่วง 7 วันสุดท้ายก่อนสอบ O-NET

         1. เร่งท่องสูตรที่จำเป็น อาการที่หลายคนเป็นคือ ท่องทิ้งไว้หลายวันแล้วลืม ดังนั้นช่วง 3 วันสุดท้ายเป็นช่วงที่โอเคสำหรับการท่องจำค่ะ (เราแบ่งสมองไปจำคำศัพท์ในวันแรกๆ แล้ว) ลิสต์สูตรที่จำเป็นออกมาใส่กระดาษแยกไว้ และเขียนกำกับไว้สั้นๆ ว่าสูตรนี้อยู่เรื่องไหน ใช้หาค่าอะไร แล้วท่องจำเป็นชุดๆ ช่วยได้เยอะจ้า
       
  2. ฝึกทำข้อสอบจับเวลา หลังจากที่ฝึกทำข้อสอบชุดยากแล้ว คราวนี้เป็นการสอบเสมือนจริง คือ จับเวลาระหว่างสอบไว้ด้วย วิชาละ 2 ชั่วโมง กติกาง่ายๆ ค่ะ ห้ามโกงเวลาเท่านั้นเอง การลองทำเทียบกับเวลาจริง ทำให้น้องๆ รู้ว่าภายใน 2 ชั่วโมงเราทำทันมั้ย มีปัญหาตรงไหนหรือเปล่า หลายคนอาจจะลองทำวิธีนี้มาซักพักแล้ว แต่ช่วง 3 วันก่อนสอบนี้มันให้ความรู้สึกคนละฟิลค่ะ คือ ตื่นเต้นกว่า กดดันกว่า หากน้องๆ คุมเวลาได้ดี ก็เท่ากับพร้อมลงสนามจริงแล้ว  เย่ๆ
        
   3. สามวันสุดท้ายควรปรับเวลานอน จากเดิมใครที่ใช้ชีวิตเป็นนกฮูกให้ค่อยๆ ฝึกมานอนเร็วขึ้น เพราะช่วงก่อนสอบแบบนี้ร่างกายควรได้พักอย่างเต็มที่นะคะ

 
   1 วันก่อนสอบ ทำตัว ทำใจให้สบาย แต่สมองต้องพร้อม
 
ทำยังไง? ให้พร้อมที่สุดในช่วง 7 วันสุดท้ายก่อนสอบ O-NET

           1. ทบทวนจากช้อตโน้ตที่ทำไว้แต่ละวิชา คืออ่านข้อมูลที่ย่อยมาแล้ว จะช่วยให้เข้าใจง่ายขึ้น วันนี้ไม่ควรเอาเนื้อหาหนักๆ จากหนังสือยัดใส่สมองแล้วค่ะ ปิดหนังสือไปได้เลย
        
   2.  เตรียมเครื่องเขียนให้พร้อม หลังจากที่ทวนเนื้อหาจากช้อตโน้ตเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลามาเตรียมเครื่องเขียน อุปกรณ์ใช้สอบสำหรับวันสอบให้เรียบร้อย ย้ำน้องๆ หน่อยว่าเตรียมของให้เกินดีกว่าขาดนะคะ เตรียมไปเลยดินสอ ยางลบ ปากกา อย่างละ 2 ชิ้น
       
    3. พักผ่อนแต่หัวค่ำ วันนี้ฝืนตัวเองกันซักนิด 2-3 ทุ่มงดดูละครแล้วเข้านอนให้เรียบร้อย วันสอบจะได้ตื่นมาแบบสดชื่นๆ จ้า
        
   4. งดกินอะไรแปลกๆ ผิดสำแดง เพราะเดี๋ยวของแปลกจะแผลงฤทธิ์ทำให้ท้องไส้ปั่นป่วนในห้องสอบ แปร๊ดๆ
       
    5. ศึกษาวิธีเดินทาง หากไม่ได้สอบโรงเรียนตัวเอง เปิดอินเทอร์เน็ตหาแผนที่หรือนัดกับเพื่อนๆ เพื่อเดินทางไปสนามสอบพร้อมกันก็ได้ค่ะ เพราะจะไปลุ้นการเดินทางในวันจริงคงไม่ดีแน่ เดี๋ยวจะไปสายไม่ทันสอบนะจ๊ะ

 
   แล้ววันสอบล่ะ??
          1. มาก่อนเวลาสอบประมาณครึ่งชั่วโมง เพื่อตามหาห้องสอบและจองทำเลเยี่ยมๆ ในการพักผ่อน
         
 2. อย่าลืมทานอาหารเช้าไปด้วยนะคะ ร่างกายคนเราต้องการอาหารเช้าไปเลี้ยงสมอง ยิ่งวันสอบควรมีแรงทั้งสมองและร่างกายนะ จะได้ไม่เหนื่อย ไม่เพลีย สมองโล่งสุดๆ
         
 3. อย่าพกของมีค่าไปมาก เพราะบางสนามสอบจะต้องวางของไว้หน้าห้องสอบทั้งหมด ซึ่งอาจจะไม่มีคนคอยเฝ้าของให้ แล้วใครต่อใครเดินผ่านไปมา เราอาจจะเป็นเหยื่อโดนขโมยของได้นะคะ
         
 4. เมื่อได้ข้อสอบแล้ว อ่านคำสั่งด้วยความระมัดระวัง ตรวจข้อสอบให้ดี มีหน้าไหนเลื่อน หรือสลับข้อ รีบแจ้งกรรมการคุมสอบเพื่อเปลี่ยนข้อสอบด่วนเลย ทั้งหมดนี้เป็นทั้งสิทธิ์และหน้าที่ของเรา ถ้าประมาทเอง
          
5. ออกจากห้องสอบแล้ว เตรียมตัวสอบวิชาต่อไป ดีกว่าการมานั่งไล่ถามเพื่อนว่าข้อนี้ตอบอะไรบ้าง เพราะถ้าเกิดเราตอบไม่ตรงกับเพื่อน จะยิ่งบั่นทอนกำลังใจทำให้สอบวิชาต่อไปได้ไม่ดีค่ะ ถ้าอยากรู้ว่าที่เราตอบไปผิดหรือถูก มานั่งหาคำตอบหลังสอบเสร็จก็ยังไม่สาย หรือจะมารอเช็กคำตอบที่เว็บ Dek-D.com ก็ได้ อิอิ
 
          เอาล่ะค่ะ 7 วันอันตรายนี้ นอกจากจะต้องเตรียมความรู้ไปสอบแล้ว ยังต้องเตรียมร่างกายตัวเองให้พร้อมด้วย อย่าปล่อยให้ความเครียดมาทำลายเรานะ O-NET จะสำคัญแค่ไหน ร่างกายต้องสำคัญกว่าค่ะ และสิ่งที่จะช่วยได้ก็คือ วางแผนสัปดาห์สุดท้ายก่อนสอบให้ดี จะได้ไม่แก่ก่อนวัยกันนะจ๊ะ
         อ้อ! มีข่าวดี(เหรอ) มาฝากน้องๆ ค่ะ หลังจากสอบ O-NET เสร็จแล้ว มีเวลาอีกไม่ถึงเดือนก็ถึงเวลาสอบ GAT PAT 1/2557 แล้วนะคะ ใครยังไม่เหนื่อย เตรียมตัวสอบกันต่อได้เลยค่าาาา

CREDIT : http://www.dek-d.com/admission/33960/

4 รัฐค่าจ้างขั้นต่ำน้อยที่สุดใน 'อเมริกา'

สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Work & Travel และแฟนๆ Dek-D.com ทุกคน วันนี้ พี่พิซซ่า กลับมาพร้อมข้อมูลจากกระทรวงแรงงานสหรัฐอเมริกาอีกครั้งค่ะ คราวก่อนเราไปดูรายชื่อรัฐที่ขึ้นค่าแรงรับปี 2014 กันแล้ว คราวนี้เราไปดู "4 รัฐที่มีค่าแรงขั้นต่ำน้อยกว่า $7.25 ต่อชั่วโมง" กันบ้าง เผื่อชวดงานในรัฐที่ค่าแรงสูงๆ แล้ว จะได้ระมัดระวังในการสมัครงานกับรัฐพวกนี้ค่ะ


     น้องๆ คงทราบกันดีแล้วว่าค่าแรงขั้นต่ำของสหรัฐอเมริกาตามระเบียบของรัฐบาลกลางคือ $7.25 ต่อชั่วโมง ซึ่งส่วนมากก็ยึดตามราคานี้กัน ยกเว้นบางรัฐที่ค่าครองชีพสูงจริงๆ ที่จะอัพค่าแรงให้สมเหตุสมผล แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องมีรัฐที่ค่าครองชีพต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศด้วยเช่นกัน ซึ่งรัฐเหล่านี้จะออกกฎหมายให้ค่าจ้างขั้นต่ำภายในรัฐของเขาต่ำกว่าของรัฐบาลกลางเสียอีก


4 รัฐค่าจ้างขั้นต่ำน้อยที่สุดใน 'อเมริกา'


     จริงๆ แล้วที่กระทรวงแรงงานกำหนดไว้ว่า $7.25 ต่อชั่วโมงนั้น ก็มีการยืดหยุ่นเอาไว้ให้ว่า แต่ละรัฐสามารถกำหนดต่างไปจากนี้ได้ แต่ต้องทำให้ลูกจ้างมีค่าตอบแทนที่พอเพียงต่อการดำรงชีพในรัฐนั้นๆ ค่ะ ซึ่งค่าแรง $7.25 นี้ รัฐบาลกลางถือว่าโอเคแล้ว เริ่มงงแล้วสิ งั้นไปดูรายชื่อทั้ง 4 รัฐที่ว่ากันเลยดีกว่า น้องจะได้เห็นตัวอย่างกันง่ายขึ้น
 
รัฐค่าแรงขั้นต่ำต่อชั่วโมง
Arkansas$6.25
Georgia$5.15
Minnesota$5.25 หรือ $6.15
Wyoming$5.15


4 รัฐค่าจ้างขั้นต่ำน้อยที่สุดใน 'อเมริกา'
 

แล้วจะพอกินรึนั่น!?

     พี่จะอธิบายเรียงไปทีละรัฐเลยนะคะ เพราะแต่ละรัฐก็มีนโยบายของตัวเองแบบไม่ปรึกษากันเลยค่ะ


4 รัฐค่าจ้างขั้นต่ำน้อยที่สุดใน 'อเมริกา'

     รัฐ Arkansas นั้น กำหนดให้ค่าจ้างขั้นต่ำอยู่ที่ $6.25 ต่อชั่วโมง ซึ่งถือว่าโอเคมากเลยเพราะอาร์คันซอเป็น 1 ในรัฐที่มีค่าครองชีพต่ำที่สุดในสหรัฐค่ะ สมมติว่าของที่ขายในราคาเฉลี่ย $100 นั้น ถ้าเอาไปขายที่นิวยอร์กจะราคา $165 แต่ถ้าซื้อที่อาร์คันซอ น้องจะซื้อได้ในราคาเพียง $80 เท่านั้นค่ะ พอจะเห็นภาพรวมคร่าวๆ แล้วนะคะว่าค่าครองชีพที่ต่ำเนี่ยมันต่ำกว่ายังไง


4 รัฐค่าจ้างขั้นต่ำน้อยที่สุดใน 'อเมริกา'


     แต่ถ้าทำงานในร้านที่มีการคิด Service Charge อยู่แล้วในทุกการซื้อสินค้าหรือบริการ ค่าจ้างจะกลายเป็น $3.62 ต่อชั่วโมงแทนค่ะ ส่วนร้านที่อยู่ได้ด้วยทิปจากลูกค้า พนักงานจะได้ค่าแรงขั้นต่ำเหลือเพียง $2.63 ต่อชั่วโมง ซึ่งตามกฎหมายของรัฐแล้วระบุไว้ว่า นายจ้างที่เลือกให้ค่าจ้างแบบ 2 อย่างหลังเนี่ยต้องมั่นใจว่าเมื่อรวมค่าเซอร์วิสชาร์จหรือค่าทิปแล้ว ลูกจ้างจะต้องได้รวมแล้วห้ามต่ำกว่า $6.25 ต่อชั่วโมงเด็ดขาด ถ้าต่ำกว่าล่ะก็ นายจ้างจะต้องหาเหตุให้เงินโบนัสหรือค่าตอบแทนใดๆ ก็ได้จนไปเท่ากับ $6.25 ต่อชั่วโมง

     น้องๆ คงสงสัยแล้วว่า ก็ถ้าจะต้องโปะเพิ่มจนถึง $6.25 อยู่ดี ทำไมไม่ให้เท่านี้ไปซะแต่ต้นให้หมดเรื่อง เหตุผลก็คือทางรัฐเชื่อว่าการให้ค่าตอบแทนแบบ 2 อย่างหลังนั้นจะเปิดโอกาสให้พนักงานได้เงินมากกว่าขั้นต่ำเยอะมาก เพราะรัฐอาร์คันซอเป็นรัฐที่ขึ้นชื่อในเรื่องธรรมชาติและความเงียบสงบ ที่คนมีเงินจากรัฐใหญ่ๆ ชอบไปพักผ่อนกัน และลูกค้ากลุ่มนี้ก็ทิปหนักมาก และด้วยความที่ข้าวของถูกกว่าที่บ้านก็ทำให้บ้าช้อปปิ้งซื้อกันแบบไม่ค่อยคิดมาก เผลอๆ แล้วอาจได้ค่าเซอร์วิสชาร์จหรือทิปมากถึง $15 ต่อชั่วโมงก็ได้ เหตุผลดูฟังขึ้นเลยใช่มั้ยล่ะ




4 รัฐค่าจ้างขั้นต่ำน้อยที่สุดใน 'อเมริกา'

     รัฐ Georgia เป็นรัฐที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวประเภทชอบผจญภัย เล่นอะไรหวาดเสียวหรืออันตราย หรือไม่ก็ต้องเป็นผู้ที่มีศิลปะในหัวใจ เพราะที่นี่มีทั้งแม่น้ำที่เหมาะแก่การล่องแก่งแบบท้ามฤตยู และมีสถานที่แสดงดนตรีแนวๆ ทั่วไปหมด ถ้าเทียบแล้วคงต้องบอกว่าเป็น "บ้านพักตากอากาศของเด็กแนว" ก็ได้ค่ะ ค่าครองชีพก็มากกว่าที่อาร์คันซอไม่เท่าไหร่เองด้วย ฉะนั้นค่าจ้างขั้นต่ำจึงอยู่ที่ $5.15 ต่อชั่วโมงแต่ก็เล่นมุกคล้ายกับอาร์คันซอ ตรงที่รัฐนี้ชอบคิด Service Charge ไปซะกับทุกอย่าง กฎหมายจึงบอกว่าลูกจ้างต้องได้ค่าตอบแทนที่รวมๆ แล้วถึง $7.25 ต่อชั่วโมงให้ได้ ทีนี้ก็ขึ้นกับตัวน้องเองแล้วค่ะว่าจะขยันได้ขนาดไหน ยิ่งทำได้มาก เซอร์วิสชาร์จก็ยิ่งมากตาม 




4 รัฐค่าจ้างขั้นต่ำน้อยที่สุดใน 'อเมริกา'

     รัฐ Minnesota มีค่าแรงขั้นต่ำ 2 อัตรา ขึ้นกับขนาดของธุรกิจค่ะ ถ้าเป็นธุรกิจขนาดเล็กเช่นร้านอาหารของตระกูล หรือโรงแรมที่สืบทอดกันมาจะได้ที่ $5.25 ต่อชั่วโมง แต่ถ้าเป็นธุรกิจขนาดใหญ่อย่างร้านหรือโรงแรมที่มีสาขาทั่วประเทศ จะได้เป็น $6.15 ต่อชั่วโมงค่ะ และด้วยความที่มี 2 อัตราแตกต่างกันก็เลยใช้ระบบ Service Charge หรือ Tip ตาม 2 รัฐก่อนหน้าแล้วไม่ได้ มินนิโซต้าจึงใช้วิธีเพิ่มชั่วโมงการทำงานแทนค่ะ โดยทั่วไปจะทำงานกันได้ 32 - 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แต่ที่นี่ให้ทำได้ถึง 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ จึงเป็นอีกทางเลือกสำหรับคนขยันค่ะ ทำมากได้มาก




4 รัฐค่าจ้างขั้นต่ำน้อยที่สุดใน 'อเมริกา'

     รัฐ Wyoming ก็เป็นอีกรัฐที่ใช้วิธี "รวมทิปให้ถึงขั้นต่ำ" ค่ะ นั่นคือถ้าเป็นงานแบบมีเซอร์วิสชาร์จจะได้ $5.15 ต่อชั่วโมง แต่ถ้าเป็นงานแบบรวมทิป จะได้ค่าจ้างขั้นต่ำเพียงชั่วโมงละ $2.13เท่านั้น แต่ไม่ว่าจะได้อัตราไหนเมื่อรวมค่าเซอร์วิสชาร์จและทิปแล้วจะต้องถึง $7.25 ต่อชั่วโมงให้ได้ค่ะ 

     แต่ข้อแม้เล็กๆ น้อยๆ ของไวโอมิ่งคือในช่วงที่กำลังเรียนรู้งานนั้น (มักไม่เกิน 2 สัปดาห์) จะได้ค่าตอบแทนเพียง $4.25 ต่อชั่วโมงเท่านั้น ส่วนสินน้ำใจจากลูกค้าถือว่าเป็นของต่างหาก และกฎหมายไม่รับรองให้ในระหว่างช่วงเวลานี้จำเป็นต้องถึง $7.25 ด้วย รัฐนี้จึงเหมาะกับคนเรียนรู้งานเร็ว เพราะยิ่งเป็นพนักงานจริงๆ ได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งได้เงินมากขึ้นเท่านั้นค่ะ




4 รัฐค่าจ้างขั้นต่ำน้อยที่สุดใน 'อเมริกา'

     แถมท้ายคราวนี้ คือรายชื่อรัฐ 5 รัฐที่ไม่มีกฏหมายค่าจ้างขั้นต่ำรองรับค่ะ นั่นคือ ค่าแรงเกิดจากการตกลงระหว่างนายจ้างและลูกจ้างล้วนๆ ทั้ง 5 รัฐนี้ได้แก่ Alabama, Louisiana, Mississippi, South Carolina และ Tennessee ค่ะ ซึ่งตอนสัมภาษณ์งานกับนายจ้างนั้น น้องต้องตกลงเรื่องนี้กับนายจ้างให้ได้นะคะว่าจะให้ระบบไหนและเท่าไหร่ แถมตอนตกลงกันอย่าลืมจดเป็นหลักฐานไว้ด้วย พอไปเซ็นสัญญาที่โน่นจริงๆ ก็ต้องดูให้ดีด้วยว่าตรงกับที่เขาตกลงกับเราตอนแรกรึเปล่า ถ้าเขาให้มากกว่าที่ตกลงกันก็เงียบๆ ไว้ละกัน 555 




4 รัฐค่าจ้างขั้นต่ำน้อยที่สุดใน 'อเมริกา'

     1. ถ้าไม่มีข้อมูลเรื่องค่าตอบแทนมาให้แต่แรก น้องต้องตกลงให้ยังไงขั้นต่ำเราต้องได้ $7.25 ต่อชั่วโมงให้ได้

     2. งานที่ใช้ระบบ Service Charge หรือ Tip และงานที่สามารถทำเกิน 40 ชั่วโมงได้นั้น น้องต้องตรวจสอบให้ดีก่อนว่าที่นั่นเขาให้ทิปเยอะกันจริงรึเปล่า หรือว่าลูกค้าเยอะจนทำงานได้เกิน 40 ชั่วโมงจริงหรอ โดยถามจากผู้ที่เคยไปทำงานที่นั่นมาก่อนค่ะ ถ้าได้งานในที่ที่เป็นช่วง Low Season พอดี ขาดทิปขาดชั่วโมงแน่ๆ เลย แต่ถ้าเช็คแล้วว่าขายดีสุดๆ ชัวร์ล่ะก็ อาจจะได้เงินมากกว่าคนที่ไปทำงานรัฐที่ค่าจ้างสูงๆ ก็ได้ค่ะ



     เป็นยังไงกันบ้างคะกับรัฐอีก 9 แห่งที่พอจะเป็นตัวเลือกสำรองได้ เมื่อรวมกับ 13 รัฐที่ขึ้นค่าแรงไปแล้วนั้น ก็ทำให้มีข้อมูลตัดสินใจเลือกรัฐเลือกงานมากขึ้นแล้วละเนอะ ส่วนรัฐอื่นๆ ที่พี่ไม่ได้พูดถึงทั้งคราวก่อนและคราวนี้นั้น มีค่าแรงขั้นต่ำอยู่ที่ $7.25 ต่อชั่วโมงตามกฎหมายค่ะ ส่วนเรื่องของทิปอะไรพวกนี้ ขึ้นกับวัฒนธรรมองค์กรนั้นๆ เองเลยค่ะ (จำนวนรัฐไม่ใช่น้อยๆ เลยนะนั่น ปาดเหงื่อแป๊บ) ก่อนจากกันก็ขอให้ชาว Work & Travel ทุกคนได้งานที่ตัวเองชอบและค่าตอบแทนสูงถูกใจกันถ้วนหน้านะคะ ^__^




ขอขอบคุณข้อมูลจาก
กระทรวงแรงงานสหรัฐอเมริกา http://www.dol.gov/
และเว็บไซต์ของกรมแรงงานรัฐอาร์คันซอ กรมแรงงานรัฐจอร์เจีย
สหพันธ์แรงงานรัฐหลุยส์เซียน่า กรมบริการกำลังคนรัฐไวโอมิ่ง
กรมแรงงานและอุตสาหกรรมรัฐมินนิโซต้า
กรมแรงงาน, การประกอบการและระเบียบการจ้างงานรัฐเซาธ์แคโรไลน่า
กรมแรงงานและพัฒนากำลังคนรัฐเทนเนสซี
CREDIT : http://www.dek-d.com/studyabroad/33967/