วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2555

13 เรื่องแมว ๆ ที่คุณอาจไม่(เคย)รู้



แมวน่ารัก


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          หลายคนที่เลี้ยงแมวคงจะคุ้นเคยกับอุปนิสัยซุกซนและขี้เล่นของเจ้าเหมียวทั้งหลาย แต่คุณจะรู้ไหมนะว่า เจ้าเหมียวน้อยตาบ้องแบ๊วเหล่านี้ยังมีสิ่งที่คุณไม่รู้เกี่ยวกับตัวพวกมันอีกแยะ บางคนที่เลี้ยงแมวมานานยังเกิดข้อสงสัยว่า เอ๊ะ! ทำไมมันทำแบบนั้น อ๊ะ! มันทำแบบนี้อีกล่ะ วันนี้เรามีเรื่องแมว ๆ ที่คุณอาจไม่(เคย)รู้ 13 ข้อมาบอกกล่าวผู้เลี้ยงแมวทั้งหลาย รวมทั้งมือใหม่ที่อยากจะเลี้ยงแมวด้วยค่ะ ว่าแต่จะมีอะไรบ้าง ไปดูพร้อมกันเลย

 1. แมวจะไม่ทักทายกันโดยการสัมผัสทางจมูก

          สาเหตุที่แมวที่ไม่รู้จักกันจะไม่ทักทายกันด้วยการเอาจมูกมาสัมผัสกัน นั่นก็เพราะ จมูก เป็นอวัยวะที่ติดเชื้อง่ายที่สุด เว้นเสียแต่ว่า แมวที่คุ้นกันอยู่แล้วแต่มีเหตุต้องจากกันไปสักช่วงหนึ่ง เมื่อพวกมันกลับมาพบกัน มันก็จะเอาจมูกมาสัมผัสกัน เพื่อจะช่วยให้จำได้ อีกทั้งแมวตัวหนึ่งจะรู้ได้ว่า แมวที่หายไปนั้น ไปที่ไหน ไปทำอะไรมานั่นเอง

 2. บางครั้งเสียงครางของแมวบ่งบอกว่ามันกำลังป่วย

          ส่วนใหญ่แล้ว เรามักได้ยินเสียงครางของแมว ตอนที่มันกำลังรู้สึกสบาย หรือพอใจกับอะไรบางอย่าง อย่างไรก็ตาม บางครั้งเสียงครางที่มากเกินไปก็บ่งบอกได้ว่า พวกมันกำลังบาดเจ็บอยู่นะ ถ้าคุณลองฟังดี ๆ คุณก็สามารถแยกเสียงได้ว่า ตอนไหนมันกำลังสบาย หรือตอนไหนมันกำลังบาดเจ็บอยู่

 3. แมวเริ่มส่งเสียงครางเมื่ออายุได้ 1 สัปดาห์

          เจ้าเหมียวน้อยทั้งหลายจะเริ่มส่งเสียงครางได้ เมื่อมันอายุได้ 1 สัปดาห์ และถ้าเราลองฟังเสียงครางของพวกมัน เราจะรู้สึกได้ว่า มันครางสม่ำเสมอและเป็นจังหวะด้วย นั่นก็เพราะพวกมันสามารถส่งเสียงครางได้สองทาง คือ ทั้งขณะหายใจเข้า และหายใจออกนั่นเอง

 4. เสียงครางของแมวบอกช่วงอายุได้

          แมวที่อายุยังน้อย จะครางได้เสียงเดียว ไม่มีเสียงสูง-เสียงต่ำ อะไรทั้งนั้น  ในขณะที่แมวอายุมากขึ้น จะสามารถครางได้หลายสุ้มเสียง เสียงทุ้มบ้าง แหลมบ้าง ก้องบ้าง แตกต่างกันไปตามอารมณ์ของมัน

 5. เสียงครางของแมว เกิดขึ้นมาได้ยังไงนะ?

          จนถึงทุกวันนี้ นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่รู้แน่ชัดถึงที่มาของเสียงครางครืด ๆ ในลำคอของเจ้าเหมียวว่ามันมาจากอวัยวะส่วนไหน แม้ว่าบางคนจะเชื่อว่า มันเกิดขึ้นในระบบหัวใจและหลอดเลือด มากกว่าที่จะเกิดขึ้นในลำคอก็ตาม แต่ปัจจุบันก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้


แมวน่ารัก

 6. แมวเลือกเสียงครางเวลาจะเล่นกับเจ้าของ

          เวลาที่เจ้าเหมียวอยากจะส่งเสียงครางออดอ้อน ออเซาะ คลอเคลียกับเจ้าของ มันจะใช้โทนเสียงแหลม ๆ เล็ก ๆ เหมือนกับมันยังเป็นลูกแมวอยู่ แต่ถ้าพวกมันเล่นกับแมวด้วยกันเอง มันจะใช้โทนเสียงผู้ใหญ่นี่แหละ เพราะไม่ต้องไปออดอ้อนใครล่ะมั้ง

 7. ช็อกโกแลต ของอันตรายสำหรับแมว

          ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบกินช็อกโกแลต ก็ขอให้เก็บช็อกโกแลตไว้ให้พ้นสายตาหรือจมูกของเจ้าเหมียวให้ดี เพราะช็อกโกแลตที่แสนอร่อยของเรานั้น กลับเป็นอันตรายต่อแมว เพราะเมื่อแมวกินช็อกโกแลตจะทำให้มันป่วยหรืออาจถึงขั้นเสียชีวิตได้

 8. แมวชอบงีบมากกว่านอนยาว

          ถ้าใครที่เลี้ยงแมว คงจะรู้ว่า แมวนั้นขี้เซาจริง ๆ เล่นกันอยู่ซักประเดี๋ยว หันไปอีกที มันก็แวบไปหาที่นอน แต่ความจริงแล้ว มันไปงีบต่างหากล่ะ เพราะแมวชอบงีบมากกว่านอนหลับไปเลย แต่ถ้ามันไปนอนหลับจริง ๆ และหลับลึกพอแล้วล่ะก็ มันก็จะฝัน เพราะการฝันช่วยให้มันผ่อนคลายความรู้สึกตื่นเต้นหรือตกใจกับเหตุการณ์ที่มันพบเจอมาในวันนั้นนั่นเอง

 9. แมวไม่ชอบสบตาใคร

          พฤติกรรมอย่างหนึ่งของแมวที่คุณอาจจะยังไม่รู้ ก็คือ แมวจะกระพริบตาและหรี่ตาก็เมื่อมันต้องมีเหตุให้สบตาโดยไม่ได้ตั้งใจ อย่างเช่น เวลามันเจอแมวที่ไม่รู้จักกัน แต่บังเอิญหันมาสบตากันเป๊ะ มันก็จะหรี่ตาแล้วก็หันไปทางอื่น หรือแม้กระทั่ง ถ้าคุณลองจ้องตามัน มันก็จะกระพริบตา หรี่ตา และก็เบือนหน้าไปทางอื่น อ่ะ.. ถ้าไม่เชื่อ ก็ลองไปทำจ้องตามันดูนะ

 10. จังหวะการเต้นของหัวใจน้องเหมียว

          โดยเฉลี่ยแล้ว อัตราการเต้นของหัวใจของแมวจะอยู่ที่ประมาณ 160-240 ครั้งต่อนาที แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับช่วงชีวิตของมันด้วย ซึ่งยิ่งมันมีอายุน้อยเท่าไหร่ อัตราการเต้นของหัวใจมันก็จะเร็วกว่าแมวที่มีอายุมากแล้ว

 11. แมวไม่เข้าใจว่ามันกำลังถูกทำโทษ!

          บางทีเจ้าเหมียวที่คุณเลี้ยงน่ะ ก็ดื้อซะเหลือเกิน ฝนเล็บที่โซฟาตัวโปรดของคุณบ้างล่ะ วิ่งเล่นชนข้าวของกระจายบ้างล่ะ แต่ถึงแม้คุณจะตี จะทำโทษมันซักเท่าไหร่ มันก็ไม่เข้าใจหรอกนะ ดังนั้น ควรเปลี่ยนมาชมมันหรือให้รางวัลมันเวลามันทำตัวดี แทนการตีมัน น่าจะดีกว่านะ

 12. เคี้ยวเนื้อดิบเสริมสร้างสุขภาพฟัน

          คุณรู้หรือไม่ว่า การให้เนื้อดิบ ๆ แก่เจ้าเหมียวไปแทะ ไปเคี้ยวเล่นทุกวัน เป็นการช่วยรักษาสุขภาพเหงือกและฟันให้อยู่ในสภาพดีเสมอนะจะบอกให้ เนื้อที่เหมาะแก่การเคี้ยวของเจ้าเหมียวนั้น ควรเป็นเนื้อสัตว์ปีก เนื้อวัว หรือเนื้อกระต่าย แต่อย่าลืมเอากระดูกออกให้หมดก่อนโยนให้มันล่ะ เพราะแมวไม่ใช่หมานะจ๊ะที่จะชอบแทะกระดูกน่ะ

 13. แมวทนร้อนได้ดีจัง เพราะอะไรกันนะ?

          ถ้าคุณเคยตั้งข้อสงสัยว่า แมวของคุณทำไมถึงทนร้อนได้ดีเหลือเกิน โปรดจงรู้ไว้ว่า นั่นก็เพราะบรรพบรุษของแมวเมื่อครั้งก่อนนู้นเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในทะเลทรายมาโดยกำเนิดนั่นเอง

วันอาทิตย์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2555

การแพทย์แห่งอนาคต 6 แนวทางรักษาโรคยุคใหม่


เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่พัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งในทุกวันนี้ช่วยเปิดความหวังและพรมแดนใหม่แห่งการรักษาโรคร้ายแรง เช่น มะเร็ง เซลล์ประสาทเสียหาย หรือแม้แต่การสั่งเพาะอวัยวะสำรอง 

1. กระดูกไฟฟ้า : กระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อเซลล์ประสาทกระดูกสันหลัง

เทคโนโลยีชนิดนี้ เริ่มทดลองใช้กับมนุษย์แล้ว พัฒนาโดยบริษัทไซเบอร์คินเนติกส์ ในรัฐแมสซาชูเส็ตต์ สหรัฐ เป้าหมายเพื่อฟื้นฟูอาการบาดเจ็บที่กระดูกสันหลัง ป้องกันป่วยเป็นอัมพาตถาวร

วิธีการทำงานของระบบดังกล่าว ทำโดยการผ่าตัดเสียบอุปกรณ์จ่ายกระแสไฟฟ้าขนาดเล็ก ซึ่งใช้แบตเตอรี่เป็นแหล่งกำเนิดพลังงาน เข้าไปในข้อต่อกระดูกสันหลังตลอด 18 วันแรกนับตั้งแต่ได้รับบาดเจ็บ และปล่อยกระแสไฟฟ้าออกมากระตุ้นให้เส้นประสาทกลับมาเจริญเติบโตอีกครั้ง ผลการทดลองในสุนัขและอาสาสมัคร พบว่า ช่วยให้กลับมาเคลื่อนไหวร่างกายได้ในระดับหนึ่ง



2. อวัยวะตามใบสั่ง : ไม่ต้องต่อคิวรอบริจาคอวัยวะอีกต่อไป เพราะคนไข้เพาะและสั่งผลิตอวัยวะจากเซลล์ของตัวเองได้

เมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา หลังจากทดลองอยู่ 6 ปีเต็ม แอนโทนี่ อตาลา นักวิศวกรรมพันธุกรรมศูนย์การแพทย์ มหาวิทยาลัยเวกฟอเรสต์ ประกาศความสำเร็จในการนำเซลล์จากคนไข้โรคกระเพาะปัสสาวะ มาเพาะเลี้ยงจนทำให้เซลล์เติบโตกลายเป็นเซลล์ที่นำไปเย็บเข้ากับกระเพาะปัสสาวะของคนไข้โดยไม่ถูกร่างกายต่อต้าน

อีก 1 เดือนถัดมา อตาลานำเอาอวัยวะเพศที่เพาะเลี้ยงขึ้นมาในจานทดลอง ไปผ่าตัดต่อให้กับกระต่ายและอวัยวะดังกล่าวทำงานได้ตามปกติ และจะพัฒนาต่อไปเพื่อทดลองกับมนุษย์

ภายในไม่กี่ปีข้างหน้า ทีมงานจะเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อไต อวัยวะที่มีระบบการทำงานซับซ้อนได้สำเร็จ ซึ่งทุกวันนี้เพาะเนื้อเยื่อไตบางส่วนที่ทำงานร่วมกับระบบขับถ่ายปัสสาวะได้แล้ว
 


3. วัคซีนครอบจักรวาล : สู้ไวรัสไข้หวัดนกทุกสายพันธุ์

นักวิทยาศาสตร์พบเป้าหมายใหม่ในการต่อสู้กับเชื้อไวรัสหวัดนก นั่นคือ ผลิตวัคซีนต่อกรกับโปรตีน "เอ็ม 2" ที่พบเกาะตัวอยู่บนผิวด้านนอกของไวรัสหวัดนกแทบทุกสายพันธุ์และมีลักษณะเหมือนกันทุกประการ

วอลเตอร์ แกรฮาร์ด ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบภูมิคุ้มกัน สถาบันวิสตาร์ สหรัฐ ระบุว่า

การผลิตวัคซีนขึ้นมาจัดการกับ "เอ็ม 2" ไม่ได้หมายความว่าจะช่วยหยุดการแพร่ระบาดของโรค แต่ทำให้เรามีเครื่องมือช่วยหยุดยั้งไม่ให้เชื้อออกฤทธิ์รุงแรงเกินไปจนผู้ป่วยไข้ขึ้นสูงและเกิดอาการขาดน้ำ โดยการทดลองวัคซีนเอ็ม 2 อาจเริ่มขึ้นในปีหน้า


4. ปิดสวิตช์ต้นตอโรคอ้วน : วิธีปิดการทำงานของยีน หรือหน่วยพันธุกรรมที่ทำให้คนเราอ้วน

จะดีแค่ไหนถ้าการฉีดยาธรรมดาๆ ช่วยหยุดการทำงานของเจ้ายีนตัวร้ายที่มีส่วนทำให้คนเป็นโรคอ้วน ทั้งยังบังคับให้เซลล์เผาผลาญไขมันและตอบสนองกับระดับการเปลี่ยนแปลงของ "อินซูลิน" ได้ดีและเหมาะสมมากขึ้น

แนวคิดข้างต้น คือ วิธีแทรกแซงสารพันธุกรรมอาร์เอ็นเอ (RNAi) ที่ไมเคิล เชก นักชีวเคมี มหาวิทยาลัยแมสซาชูเส็ตต์ พยายามต่อยอดความคิดจากนักวิทยาศาสตร์รุ่นพี่และจะทำให้สำเร็จภายในปี 2553

ตามปกติกระบวนการ RNAi เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น เวลามีไวรัสบุกเข้าโจมตีเซลล์ในร่างกาย ไวรัสจะส่งผ่านรหัสพันธุกรรมผ่านคู่อาร์เอ็นเอ แต่ร่างกายก็ต่อสู้กับไวรัสที่พยายามแพร่กระจายได้ ซึ่งเชกลอกเลียนวิธีเดียวกันนี้มาใช้ปิดการทำงานของยีน จนทำให้เซลล์เผาผลาญกรดไขมันส่วนเกินทิ้งไปภายหลังจากฉีดอาร์เอ็นเอชนิดพิเศษเข้าสู่ร่างกาย 


5. "นาโน"ฟื้นฟูเส้นประสาท : เครื่องมือถักทอเซลล์ประสาทที่เสียหายให้กลับมาคืนชีพอีกครั้ง

นักวิทยาศาสตร์คิดค้นวิธีเชื่อมต่อ "กรดอะมิโน" ที่มีคุณสมบัติต่างๆ กันถักร้อยเข้าด้วยกันเป็นสายยาวในขนาดเล็กระดับนาโน ซึ่งในกรณีนี้หมายถึงเล็กกว่าเซลล์เม็ดเลือดแดง 1,000 เท่า ต่อมาฉีดเข้าไปในจุดที่เส้นประสาทได้รับบาดเจ็บหรือเสียหาย กรดเหล่านี้จะทำหน้าที่เป็นสะพานยึดโยงให้เซลล์ประสาทส่วนที่ยังดีอยู่กลับมาเชื่อมต่อกันได้อีกครั้ง

รัตเลดจ์ เอลลิสส-เบห์นเค จากสถาบันเอ็มไอที นำเทคนิคนี้ไปทดลองในหนูซึ่งประสาทตาเสีย พบว่าช่วยฟื้นฟูการมองเห็นของมันกลับคืนมา 75 เปอร์เซ็นต์ ในอนาคตเทคนิคนี้จะมีประโยชน์ในการซ่อมแซมประสาทบริเวณกระดูกสันหลังและสมอง 

6. เพชรฆาตมะเร็ง : ผลิตลูกระเบิดคาร์บอนขนาดจิ๋วเพื่อส่งเข้าไปทำลายเซลล์มะเร็งโดยตรง ทำให้ผู้ป่วยไม่ต้องพบกับผลกระทบจากการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด

จุดอ่อนของการใช้เคมีบำบัด หรือ รังสีรักษาผู้ป่วยมะเร็ง คือ ตัวยาและรังสีจะเข้าไปทำลายทั้ง "เซลล์ดี" และ "เซลล์มะเร็ง" ส่งผลให้สุขภาพผู้ป่วยทรุดโทรม

ล่าสุดโรเบิร์ต แลงเกอร์ สถาบันเอ็มไอที, โอมิด ฟาร็อกซาด มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด กำลังคิดค้นเทคนิคสร้าง "ลูกบอลคาร์บอนโพลิเมอร์" ขนาดเล็กในระดับ "นาโน" หรือ เล็กกว่าหัวเข็มหมุด 1,000 เท่า

จากนั้นบรรจุตัวยาฆ่าเชื้อมะเร็งเข้าไปด้านในและส่งลูกบอลดังกล่าวเข้าไปในร่างกาย โดยมันสามารถแยกแยะเนื้อเยื่อที่ดีกับเนื้อเยื่อที่เป็นมะเร็งได้จากการตรวจจับ "โปรตีน" ชนิดหนึ่งที่เซลล์มะเร็งผลิตออกมา คาดว่าการทดลองจะเสร็จสมบูรณ์ในปี 2557

วันอาทิตย์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2555

วันสตรีสากล



ประวัติความเป็นมา ของ "วันสตรีสากล" เกิดขึ้นจากกรรมกรหญิงในโรงงานทอผ้า รัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกาได้พากันลุกฮือประท้วงให้นายจ้างเพิ่มค่าจ้าง และเรียกร้องสิทธิของพวกเธอ แต่สุดท้ายกลับมีผู้หญิงถึง 119 คนต้องเสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ ด้วยการที่มีคนลอบวางเพลิงเผาโรงงานที่พวกเธอนั่งชุมนุมกันอยู่ โดยเหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ.1857 (พ.ศ. 2400)
จากนั้นในปี ค.ศ.1907 (พ.ศ. 2450) กรรมกรหญิงในโรงงานทอผ้าที่เมืองชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกาทนไม่ไหวต่อการเอารัด เอาเปรียบ กดขี่ ทารุณ ของนายจ้างที่ใช้งานพวกเธอเยี่ยงทาส เนื่องจากกรรมกรหญิงเหล่านี้ต้องทำงานหนักถึงวันละ 16-17 ชั่วโมง โดยไม่มีวันหยุด ไม่มีประกันการใช้แรงงานใดๆ เป็นผลให้เกิดความเจ็บป่วยล้มตายตามมาในระยะเวลาอันรวดเร็ว แต่กลับได้รับค่าแรงเพียงน้อยนิด และหากตั้งครรภ์ก็ถูกไล่ออก
ความอัดอั้นตันใจจึงทำให้ "คลาร่า เซทคิน"นักการเมืองสตรีสายแนวคิดสังคมนิยม ชาวเยอรมันตัดสินใจปลุกระดมเหล่ากรรมกรสตรีด้วยการนัดหยุดงานในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ.1907 พร้อมกับเรียกร้องให้นายจ้างลดเวลาการทำงานลงเหลือวันละ 8 ชั่วโมง อีกทั้งให้ปรับปรุงสวัสดิการทุกอย่าง และให้สตรีมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งด้วย อย่างไรก็ตามแม้การเรียกร้องครั้งนี้ จะไม่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากมีแรงงานหญิงหลายร้อยคนถูกจับกุม แต่ก็ทำให้สตรีทั่วโลกสนับสนุนการกระทำของ "คลาร่า เซทคิน" และเป็นการจุดประกายให้สตรีทั่วโลกเริ่มตระหนักถึงสิทธิของตัวเองมากขึ้น
ต่อมาในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ.1908 (พ.ศ. 2451) มีแรงงานหญิงกว่า 15,000 คน ร่วมเดินขบวนทั่วเมืองนิวยอร์ก เรียกร้องให้ยุติการใช้แรงงานเด็ก โดยมีคำขวัญการรณรงค์ว่า "ขนมปังกับดอกกุหลาบ" ซึ่งหมายถึงการได้รับอาหารที่พอเพียงพร้อมๆ กับคุณภาพชีวิตที่ดีนั่นเอง
จนกระทั่งในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ.1910 (พ.ศ. 2453) ความพยายามของกรรมกรสตรีกลุ่มนี้ก็ประสบผลสำเร็จ เมื่อมีตัวแทนสตรีจาก 17 ประเทศ เข้าร่วมประชุมสมัชชาสตรีสังคมนิยมครั้งที่ 2 ณ เมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก โดยในที่ประชุมได้ประกาศรับรองข้อเรียกร้องของบรรดากรรมกรสตรี ในระบบสาม 8 คือ ยอมให้ลดเวลาทำงานเหลือวันละ 8 ชั่วโมง ให้เวลาศึกษาหาความรู้เพื่อพัฒนาศักยภาพของตัวเองอีก 8 ชั่วโมง และอีก 8 ชั่วโมงเป็นเวลาพักผ่อน พร้อมกันนี้ยังได้ปรับค่าแรงของแรงงานหญิงให้เท่าเทียมกับแรงงานชาย และยังมีการคุ้มครองสวัสดิการสตรีและแรงงานเด็กอีกด้วย
ทั้งนี้ยังได้รับรองข้อเสนอของ "คลาร่า เซทคิน" ด้วยการกำหนดให้วันที่ 8 มีนาคม ของทุกปีเป็น วันสตรีสากล

St. Patrick คือใคร?




ทุกๆ วันที่ 17 มีนาคม คือวัน St. Patrick’s Day จะว่าไปวัน St. Patrick’s Day มันก็ไม่ได้ถือเป็นวันหยุดสำคัญประจำชาติของอเมริกา แต่ในวันเดียวกันนี้ ในหลายๆประเทศต่างก็เฉลิมฉลอง ด้วย ขบวน พาเหรด ร้องรำทำเพลง และ การแต่งกายด้วยชุดสีเขียว ดูเหมือนว่าในประเทศอเมริกา เมื่อถึงวัน St. Patrick’s Day จะมีประเพณีที่นิยมทำกันมาต่อเนื่อง นั่นคือ การเดินขบวนพาเหรดที่ตกแต่งอย่างสร้างสรรค์ การเดินขบวนพาเหรดครั้งแรก เริ่มที่เมือง บอสตัน ในปี พ.ศ 1762


โดยชาว ไอริช ที่ อพยพ เข้ามาตั้งถิ่นฐานใน อเมริกา ในปีเริ่มแรก การเดินขบวนเฉลิมฉลอง มีจุดประสงค์เพื่อรำลึกถึง ประวติศาสตร์ของชนชาวไอริช แล้ว St. Patrick คือใครกันล่ะ? และ อะไรคือความหมายที่แท้จริงของ St. Patrick’s Day กันแน่? แม้จะไม่มีประวัติที่ชัดเจนอย่างแท้จริงเกี่ยวกับ St. Patric แต่มีหลายๆหลักฐานที่สนับสนุนว่า St.Patric เกิดที่ Scotland หรือ อีกที่ ที่อาจเป็นไปได้ คือ Wales ประเทศ อังกฤษ เมื่อราวๆปี คริสตศักราช 370 มีชื่อเดิมว่า Maewyn Succat Calpurnius และ Conchessa พ่อแม่ของ Maewyn Succat เป็นคนพื้นเมืองเชื้อสายสวิต ที่อาศัยอยู่ใน ประเทศอังกฤษ



ในช่วงวัยรุ่น Maewyn  ถูกลักพาตัวและส่งไปขายที่ slavery ใน Ireland เค้าถูกส่งตัวมาเป็นบาทหลวงที่โบสถ์แห่งหนึ่ง ในช่วงเวลานั้นเอง Maewyn ได้เรียนรู้และเริ่มซึมซับเรื่องของศาสนา เค้าหลงไหลในการศึกษาศาสนา ในเวลานั้น Maewyn มีความตั้งใจว่า จะแล่นเรือออกไปนอก ไอร์แลนด์ เค้าได้ ล่องเรือไปตามชายฝั่งของไอร์แลนด์ เป็นระยะทางไกลถึงกว่า 100 ไมล์ จนมาถึงชายฝั่งของ ประเทศอังกฤษ



เมื่อมาถึงประเทศอังกฤษแล้ว Maewyn ยังคงทำตามความตั้งใจของเขาต่อด้วยการเผยแพร่ปณิธานของเขา  เค้าได้บอกเล่าเกี่ยวกับความฝันของเค้าเกี่ยวกับ ชายที่ชื่อ Victoricus ผู้ซึ่งมาหาเค้าเมื่อตอนที่เค้ายังอยู่ที่ไอร์แลนด์ พร้อมด้วยจดหมายฉบับหนึ่ง และนี่คือสิ่งที่ Maewyn เขียนไว้ในบันทึกของเค้า …



“เมื่อ ครั้งแรกที่ผมได้อ่านจดหมายฉบันนั้น ผมได้ยินเสียงร่ำไห้ในเวลาเดียวกัน เสียงนั้น ร้องว่า “เราทั้งสาม อยู่ตรงนี้ ได้โปรด เดินมาหาเราด้วย”



หลังจากนั้น Maewyn เดินทางไปเรื่อยๆ เพราะผู้คนใน ไอร์แลนด์ ยังไม่ค่อยยอมรับความเชื่อที่ว่านี้มากนัก เค้าเดินทางไปจนถึงฝรั่งเศส และได้บวชเป็นบาทหลวง จากนั้นจึงเปลี่ยนชื่อตัวเองเป็น Patrick (ความหมายใน ภาษาละติน แปลว่า บิดาของปวงชน) ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา บาทหลวง Patrick ใช้ใบไม้ 3 ใบจากต้นแชมรอท (ต้นไม้ประจำชาติของไอร์แลนด์) เพื่อนำมาอธิบายคำสั่งสอน ให้กับชาวคริสเตียนถึงเรื่องส่วนประกอบ 3 องค์ คือ พระบิดา พระบุตรและ จิตวิญญาณ (ข้อมูลจาก http://www.yindii.com)



ภาย หลังจากการเสียชีวิตของ บาทหลวง Patrick ได้ถูกสถาปนาเป็นนักบุญ(โดยมีคำว่า Saint) นำหน้าเพื่อเป็นเกียรติืแก่เขา ดังนั้นเพื่อลำลึกถึง St.Patrick ผู้ซึ่งเป็นนักบวชสอนศาสนาชาว ไอร์แลนด์ ทุกๆวันที่ 17 มีนาคม ซึ่งเป็นวันครบรอบวันตายของ St.Patrick ในทุกๆปี จึงมีการจัดขบวนพาเหรดและแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีเขียว เปรียบเสมือนตัวแทนของต้นแชมรอท นั่นเอง 

วันเสาร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2555

เพลงพิณโบราณ


เพลงที่เล่นด้วยคายากึมแบบดั้งเดิม
a
คายากึมเพลงอารีรัง


หลายคนอาจจะเคยฟัง Canon in D ของ Pachelbel มาหลากหลายเวอร์ชั่นแล้ว
เวอร์ชั่น "คายากึม"
ด้วยคลิปต่อไปนี้เลยค่ะ
มีอีกเพลง ของบีโธเฟน
แถมด้วยแบบฮิปฮอป
เพลงประกอบโฆษณาการท่องเที่ยวเกาหลี

โกมังกู 거문고 or 현금

“โกมังกู” (geomungo) หรือ “ฮยอนกึม” (hyeongeum) เป็นเครื่องสายโบราณของเกาหลี เหล่าบัณฑิตเชื่อกันว่าชื่อนี้มาจากคำว่า “โกคูรยอ” และโดยความหมายก็คือ “พิณแห่งโกคูรยอ” หรืออีกนัยหนึ่งก็แปลได้ว่า “พิณสีดำ”

เครื่องสายชนิดนี้มีปรากฏมานานตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 จนถึงศตวรรษ 7 ในสมัยอาณาจักรโกคูรยอ ตามที่ปรากฏใน Samguk Sagi หรือตำนานแห่ง 3 อาณาจักร  ซึ่งเขียนไว้ในปี ค.ศ. 1145 “โกมังกู” ประดิษฐ์โดยเสนาบดี Wang San-ak โดยมีต้นแบบจากเครื่องสายโบราณของจีน “กู่เจิ้ง” (พิณ 7 สาย) โดยมีหลักฐานการปรากฏของเครื่อสายชนิดนี้อยู่ในภาพวาดในสุสานสมัยโกคูรยอ

“โกมังกู” มีความยาวประมาณ 162 ซ.ม. และกว้าง 23 ซ.ม. (ยาว 63.75 นิ้ว และกว้าง 9 นิ้ว) มีสายทั้งหมด 16 สาย เวลาเล่นผู้บรรเลงต้องนั่งบนพื้น แล้วใช้ไม้ดีดที่จับด้วยมือขวา ในขณะที่มือซ้ายกดที่สายพิณเพื่อให้เกิดเสียงสูงต่ำ 
 เครื่องดนตรีชนิดนี้ใช้บรรเลงทั้งบทเพลงในราชสำนักและบทเพลงพื้นบ้าน
ตามรูปพรรณสัณฐานและวิธีการเล่นทำให้คนมักเชื่อกันว่านี่เป็นเครื่องดนตรีที่เหมาะสำหรับ “ผู้ชาย” มากกว่า “กยากึม” (gayageum) พิณเกาหลีอีกแบบที่มี 12 สาย แต่เครื่องดนตรีทั้ง 2 ชนิดสามารถเล่นได้ทั้งหญิงและชาย

จินฮีคิม ชาวอเมริกันเชื้อสายเกาหลี ซึ่งเป็นทั้งนักดนตรีและนักแต่งเพลง ได้เล่นโกมังกูไฟฟ้าที่ประดิษฐ์ขึ้นใหม่เพื่อให้กลายเป็นเครื่องดนตรีแบบสากล



Geomungo [ 거문고 or 현금 ]

The geomungo or hyeongeum (literally "black zither") is a traditional Korean stringed musical instrument of zither family instrument with both bridges and frets. Scholars believe that the name refers to Goguryeo and translates to "Goguryeo zither" or that it refers to the colour and translates to "black crane zither".

The instrument originated circa the fourth century through the 7th century from the kingdom of Goguryeo, the northernmost of the Three Kingdoms of Korea, although the instrument can be traced back to the 4th century.

According to the Samguk Sagi (Chronicles of the Three Kingdoms), written in 1145, the geomungo was invented by prime minister Wang San-ak, by using the form of the ancient Chinese instrument gugin (also called chilhyeongeum, literally "seven-string zither"). Archetype of the instrument is painted in Goguryeo tombs. They are found in the tomb of Muyongchong and Anak Tomb No.3.

The geomungo is approximately 162 cm long and 23 cm wide (63.75 inches long, 9 inches wide), and has movable bridges called Anjok and 16 convex frets. It has a hollow body where the front plate of the instrument is made of paulownia wood and the back plate is made of hard chestnut wood. Its six strings, which are made of twisted silk passed through its back plate. The pick is made from bamboo sticks in the size of regular household pencil.

The geomungo is generally played while seated on the floor. The strings are plucked with a short bamboo stick called suldae, which is held between the index and middle fingers of the right hand, while the left hand presses on the strings to produces various pitches. The most typical tuning of the open strings for the traditional Korean music is D#/Eb, G#/Ab, C, A#/Bb, A#/Bb, and A#/Bb an octave lower than the central tone. The instrument is played in traditional Korean court music and the folk styles of sanjo and sinawi.

Due to its characteristically percussive sound and vigorous playing technique it is thought of as a more "masculine" instrument than the 12-string gayageum (another Korean zither); both instruments, however, are played by both male and female performers.

The Korean-born, U.S. resident geomungo performer and composer Jin Hi Kim plays a custom-made electric geomungo in addition to the regular instrument.

[Special Thanks to wikipedia.org]

วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2555

29 ก.พ.วัน "Leap Day"สาวๆขอผู้ชายแต่งงานได้..ไม่น่าเกลียด

ในวันที่ 29 กุมภาพันธ์นี้ ตามธรรมเนียมความเชื่อของชาวตะวันตกตั้งแต่ค.ศ.500 โดยเฉพาะเริ่มต้นจากในไอร์แลนด์มีธรรมเนียมให้ผู้หญิงสามารถขอผู้ชายแต่งงานได้ เฉพาะในปีอธิกสุรทิน (ปีที่มี 366 วัน) หรือปีที่เดือนกุมภาพันธ์มี 29 วัน ซึ่งในปีนี้มีวันที่ 29 กุมภาพันธ์ โดยชาวตะวันตกเรียกวันนี้ว่า Leap Day และฝรั่งถือว่าผู้หญิงจะขอแต่งงานกับผู้ชายก็ได้ โดยเรียกว่า leap year proposal

ขณะที่ ปี ค.ศ.1288 ในสมัยของราชินีมาร์กาเร็ตแห่งสกอตแลนด์ ได้ออกกฎหมายคุ้มครองเพิ่มเติมขึ้นมาอีก หากผู้หญิงที่ขอผู้ชายแต่งงานในวันดังกล่าวถูกปฏิเสธ ฝ่ายชายต้องชดใช้ค่าเสียหายให้ฝ่ายหญิง อาทิ ด้วยการจูบ หรือต้องต่างตอบแทนด้วยชุดเสื้อผ้าเครื่องประดับ หรือเงิน 



Imagea


สำหรับใครที่ไม่แน่ใจว่า จะกล้าหรือไม่ ลองหาภาพยนตร์ “Leap Year” มาชมกันได้ หนังนำเสนอความเชื่อดั้งเดิมนี้ และใช้เป็นพล็อตในภาพยนตร์โรแมนติกคอมเมดี้ เล่าเรื่อง "แอนนา แบรดดี้" สาวมาดเนี๊ยบสุดระเบียบ (รับบทโดย "เอมี่ อดัมส์")เดินทางจากบอสตันไปหาแฟนที่ทำงานในกรุงดับลิน ไอร์แลนด์ เพื่อขอแฟนหนุ่มแต่งงานกับเธอ แต่สภาพอากาศทำให้การเดินทางต้องทุลักทุเลขึ้นรถลงเรือจนไปเกยฝั่งที่หมู่บ้านเล็กๆในเวลส์ แอนนาต้องจ้างหนุ่มเจ้าของบาร์หน้าโหดกวนประสาท "ดีแคลน" (แมทธิว กู้ดดี้) ขับรถไปส่งเธอให้ทันเวลาขอแฟนแต่งงานนั่นเอง

วันเสาร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2555

พาวเวอร์พัฟฟ์เกิลส์


เดอะพาวเวอร์พัฟฟ์เกิลส์ (อังกฤษThe Powerpuff Girls) เป็นการ์ตูนจากสหรัฐอเมริกา เขียนโดยCraig McCracken เริ่มออกอากาศทางการ์ตูนเน็ตเวิร์ก ในวันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2541 (ค.ศ. 1998) ถึง 25 มีนาคม พ.ศ. 2548 (ค.ศ. 2005)
พาวเวอร์พัฟฟ์เกิลส์ได้รับรางวัลเอมมีในปี พ.ศ. 2543 และ 2548

เรื่องย่อ

พาวเวอร์พัฟฟ์เกิลส์ เกิดจากการทดลองที่ผิดพลาดของ ศจ.ยูโทเนียม โดย ศจ.ยูโทเนียม ต้องการเด็กหญิงสมบูรณ์แบบ โดยการผสมน้ำตาล เครื่องเทศ สารพัดของกุ๊กกิ๊ก และสารเคมี X โดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วเกิดเป็นเด็กหญิง 3 คนได้แก่ บลอสซัม บัตเทอร์คัพ และ บับเบิลส์ พวกเธอเกิดมาพร้อมกับพลังพิเศษ และใช้พลังนี้ในฐานะซูเปอร์ฮีโร่เพื่อช่วยปกป้องโลก ส่วน ศจ.ยูโทเนียม เขาก็รับหน้าที่เลี้ยงดูเหมือนกับเป็นพ่อคนหนึ่ง และคอยให้คำแนะนำสั่งสอน 3 สาวเป็นประจำ ทั้งยังคอยประดิษฐ์คิดค้นของใหม่ ๆ ให้กับพาวเวอร์พัฟฟ์เกิลส์อีกด้วย


                
:: ตัวละครหลัก ::
บลอสซัม (Blossom)
เด็กหญิงอายุ 5 ขวบ ทั้งยังเป็นผู้นำของพาวเวอร์พัฟฟ์เกิลส์อีกด้วย ลักษณะทั่วไปของ
บลอสซัม คือ ไว้ผมยาว และมีผมสีน้ำตาล ใส่ชุดสีชมพู ตาสีชมพู และผูกโบว์สีแดงที่ผม
บลอสซัมเป็นผู้นำกลุ่มพาวเวอร์พัฟฟ์เกิลส์ มีความเป็นผู้นำสูงจนเกินไป ด้วยลักษณะนิสัย
ของเธอนี่เองที่ทำให้เธอดูเหมือนเป็นพี่สาวของบับเบิลส์ และบัตเตอร์คัพ แต่จริง ๆ แล้ว
ทั้ง 3 คนเกิดมาพร้อมกัน มีพลังไอเย็นน้ำแข็ง ที่ต่างจากบัตเทอร์คัพและบับเบิลส์


บัตเทอร์คัพ (Buttercup)
เด็กหญิงอายุ 5 ขวบ ไว้ผมสั้น ใส่ชุดสีเขียว ตาสีเขียว บัตเทอร์คัพ เป็นเด็กสาวห้าวใน
กลุ่มพาวเวอร์พัฟฟ์เกิลส์ ขี้โมโห และชอบโวยวายเหมือนเด็กผู้ชาย ชื่นชอบการต่อสู้ที่มี
ความรุนแรง ในฉบับภาพยนตร์ของ "เดอะพาวเวอร์พัฟฟ์เกิลส์" เปิดเผยว่า ศจ.ยูโทเนียม
ตั้งชื่อว่า "บัตเทอร์คัพ" เพื่อให้มีอักษรนำหน้าด้วย B เหมือนอีกสองคน ชื่อ buttercup
เป็นชื่อดอกไม้ชนิดหนึ่ง เป็นพืชไม้ดอกที่เป็นรูปถ้วยสีเหลืองจำพวก Ranunculus


บับเบิลส์ (Bubbles)
คือเด็กหญิง 5 ขวบ ไว้ผมหางม้า ผมสีทอง ใส่ชุดสีฟ้า ตาสีฟ้า ชอบอุ้มตุ๊กตา บับเบิลส์
เด็กสาวที่เรียบร้อยพอ ๆ กับความเอ๋อ เป็นคนรักสัตว์ รักธรรมชาติ แต่เมื่อบับเบิลส์เกิด
โมโหขึ้นมา ไม่สามารถมีใครหยุดยั้งเธอได้ เธอมีความสามารถในการ คุยภาษาสัตว์และ
ภาษาอื่น ๆ เช่น ภาษาสเปน เป็นต้น

ศาสตราจารย์ยูโทเนียม (Professor Utonium)
เป็นผู้ให้กำเนิดเหล่า "พาวเวอร์พัฟฟ์เกิลส์" ลักษณะของเขาคือชายหนุ่ม ตัวสูงโปร่ง เขา
เป็นนักประดิษฐ์ที่มีความสามารถชั้นยอดคนหนึ่ง ผลงานที่เขาทำส่วนใหญ่จะทำให้พวก
พาวเวอร์พัฟฟ์เกิลส์ใช้ ทั้งยังเป็นพ่อที่ดีคนหนึ่งเลยทีเดียว ฉะนั้นเขาจึงเป็นพ่อตัวอย่าง
อีกคนหนึ่ง เขารักพวกพาวเวอร์พัฟฟ์เกิลส์เหมือนเป็นลูกสาว ทั้งยังคอยให้การเอาใจใส่
ดูแลอย่างดี
:: ตัวละครอื่นๆ ::
 โมโจ โจโจ้ (ลิงชิมแปนซีจอมชั่วร้าย)
 ฮิม(ปีศาจก้ามปูที่มีพลังเหนือมนุษย์)
 แก๊งอะมีบา
 ฟอสซี
 แก๊งขี้ไคล
 ซีดูซ่า
 Ms. Keane
 Townsville
 Ms. Sara Bellum
 Narrator
 สุนัขพูดได้
 นายกเทศมนตรี (Mr.Mayor)