วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2555

cogito ergo sum "เพราะฉันคิด ฉันจึงมีอยู่" ---->> René Descartes


เรอเน เดการ์ต (ฝรั่งเศสRené Descartes) เป็นทั้งนักปรัชญาและนักคณิตศาสตร์ นอกจากที่เขาเป็นผู้ที่บุกเบิกปรัชญาสมัยใหม่ เขายังเป็นผู้คิดค้นระบบพิกัดแบบคาร์ทีเซียนซึ่งเป็นรากฐานของการพัฒนาด้านแคลคูลัสต่อมา
เดการ์ต ได้รับการยกย่องให้เป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ตะวันตกสมัยใหม่ แนวคิดของเขามีผลต่อนักคิดร่วมสมัยไปถึงนักปรัชญารุ่นต่อ ๆ มา โดยรวมเรียกว่าปรัชญากลุ่มเหตุผลนิยม (rationalism) ซึ่งเป็นแนวคิดปรัชญาหลักในยุโรปสมัยศตวรรษที่ 17 และ 18.

ประวัติ

เดการ์ตเกิดที่ประเทศฝรั่งเศส เขาสำเร็จการศึกษาด้านกฎหมายในปี ค.ศ. 1616 แม้ว่าต่อมาเขาจะไม่ได้ประกอบอาชีพเป็นนักกฎหมายแต่อย่างใด ในปี ค.ศ. 1618 เขาเริ่มทำงานให้กับเจ้าชายมัวริสแห่งนาซอ ผู้นำของกลุ่มจังหวัดของฮอลแลนด์ในขณะนั้น ด้วยความหวังว่าจะเอาดีในสายการทหาร และที่นั่นเองที่เขาได้พบกับ ไอแซค บีคแมน และได้แต่งเพลงชื่อว่า Compendium Musicae
ในปี ค.ศ. 1619 (พ.ศ. 2162) เขาได้เดินทางไปยังประเทศเยอรมนี และในวันที่ 10 พฤศจิกายน ในปีนี้เองที่เขาได้มองเห็นแนวคิดใหม่ของคณิตศาสตร์และระบบทางวิทยาศาสตร์ จากนั้นในปี ค.ศ. 1622 เขาได้เดินทางกลับไปยังฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 1627 เดการ์ตได้อยู่ในเหตุการณ์ยึดเมืองลาโรแชล (La Rochelle) ที่นำโดยบาทหลวงรีชลีเยอ (Richelieu)
ในปี ค.ศ. 1628 เขาได้แต่ง Rules for the Direction of the Mind และได้ย้ายไปอยู่ที่ประเทศฮอลแลนด์ ซึ่งเป็นที่เขาพำนักอยู่จนถึงปี ค.ศ. 1649 ในปี ค.ศ. 1629 เขาได้เริ่มงานเขียนชื่อ The World อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้จัดพิมพ์ผลงานชิ้นนี้ เนื่องจากทราบข่าวการตัดสินคดีของกาลิเลโอที่มีขึ้นในปี ค.ศ. 1633 เขาได้ลูกสาวในปี ค.ศ. 1635 อย่างไรก็ตามเธอได้เสียชีวิตลงในอีก 5 ปีถัดมา
เขาได้ตีพิมพ์ Discourse on Method, พร้อมด้วย OpticsMeteorology and Geometry ในปีค.ศ. 1637 จากนั้นในปี ค.ศ. 1641 (พ.ศ. 2184) หนังสือชื่อ การครุ่นคิดเกี่ยวกับปรัชญาที่หนึ่ง(Meditations on First Philosophy) ก็ได้ถูกจัดพิมพ์ขึ้นพร้อมด้วยบทความรวมข้อโต้เถียงและคำตอบส่วนแรกที่มี 6 ชุด ในปี 1642 Meditations ฉบับพิมพ์ครั้งที่สองก็ได้รับการจัดพิมพ์พร้อมด้วยบทความรวมข้อโต้เถียงทั้งหมด 7 ชุด
ในปี ค.ศ. 1643 ระบบคิดทางปรัชญาของเขาถูกประณามที่มหาวิทยาลัยแห่งอูเทรช และเขาได้เริ่มเขียนติดต่อกับพระนางเจ้าอลิซาเบทแห่งโบฮีเมีย (Princess Elizabeth) เดการ์ตพิมพ์ Principles of Philosophy และเดินทางไปยังฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1644 และในปี ค.ศ. 1647 ได้รับรางวัลเป็นค่าใช้จ่ายรายเดือนโดยพระราชาแห่งฝรั่งเศส หลังจากนั้นเขาก็ได้พิมพ์หนังสืออีกหลายเล่มเช่น Comments on a Certain Broadsheet The Description of the Human Body และ Conversation with Burman. ในปี ค.ศ. 1649 เขาได้เดินทางไปประเทศสวีเดน ภายใต้คำเชิญของพระนางเจ้าคริสตินา (Queen Christina) และในปีนั้นหนังสือ Passions of the Soul ที่อุติแด่พระนางเจ้าอลิซาเบทแห่งโบฮีเมียได้รับการจัดพิมพ์ขึ้น
เรอเน เดการ์ตเสียชีวิตเนื่องจากนิวโมเนียในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1650 (พ.ศ. 2193) ที่กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน เนื่องจากเขาเป็นชาวแคทอลิกในประเทศโปรเตสแตนต์ ศพของเขาจึงถูกฝังที่สุสานสำหรับทารกที่ไม่ได้ผ่านพิธีรับศีล หลังจากนั้นศพของเขาบางส่วนถูกนำไปประกอบพิธีที่ฝรั่งเศส และในช่วงปฏิวัติฝรั่งเศสศพของเขาก็ถูกย้ายไปฝังที่พาเทนอลในปารีส ร่วมกับนักคิดชาวฝรั่งเศสผู้ยิ่งใหญ่ท่านอื่น ๆ เมืองเกิดของเขาได้รับการเปลี่ยนชื่อเป็น La Haye - Descartes
ในปี ค.ศ. 1667 หลังจากที่เขาเสียชีวิต ศาสนจักรโรมันคาทอลิก ได้ใส่งานของเขาเข้าไปในรายการหนังสือต้องห้าม (Index of Prohibited Books)

[แก้]ผลงานที่สำคัญ

เดการ์ตได้รับการยกย่องว่าเป็นนักคิด "แห่งยุคสมัยใหม่" คนแรก เนื่องจากเป็นผู้วางรากฐานทางปรัชญาให้กับวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ ในหนังสือการครุ่นคิดเกี่ยวกับปรัชญาที่หนึ่ง (Meditations on First Philosophy) เดการ์ตพยายามหากลุ่มของหลักการที่สามารถเชื่อถือได้ว่าจริง โดยปราศจากข้อสงสัย เขาได้ใช้วิธีการที่เรียกว่า กังขาคติเชิงวิธีวิทยา (Methodological Skepticism) กล่าวคือ เขาจะสงสัยกับทุก ๆ ความคิดที่สามารถจะสงสัยได้
เขายกตัวอย่างของการฝัน: ในความฝัน ประสาทสัมผัสต่าง ๆ ของเราอาจรับรู้อะไรได้เหมือนจริง แต่สิ่งที่เรารับรู้นั้นล้วนไม่มีอยู่จริง ดังนั้น เราจึงไม่สามารถรับประกันได้ว่าข้อมูลที่ได้จากประสาทสัมผัสนั้น เป็นสิ่งที่ต้องเป็นความจริง ไม่แน่ว่าอาจมี "ผู้จ้องทำลายที่ร้ายกาจ" ที่สามารถปิดบังเราจากการรับรู้ธรรมชาติที่แท้จริงของสรรพสิ่งได้ เมื่ออาจมีความเป็นไปได้เหล่านี้แล้ว จะเหลืออะไรบ้างที่เราสามารถเชื่อได้อย่างแท้จริง?
เดการ์ตพบความเป็นไปได้เพียงข้อเดียว: ถ้าฉันถูกหลอกได้ นั่นแปลว่า "ฉัน" จะต้องมีอยู่จริง วาทะที่โด่งดังของความคิดนี้คือ cogito ergo sum(หรือ "เพราะฉันคิด ฉันจึงมีอยู่") (คำพูดนี้ไม่ได้ถูกเขียนไว้ใน การครุ่นคิด แต่เขาได้เขียนไว้ในงานชิ้นก่อน Discourse on Method)
ดังนั้น เขาจึงสรุปว่าเขาสามารถแน่ใจได้ว่าเขามีอยู่จริง แต่คำถามก็คือเขานั้นมีอยู่ในรูปแบบใด? การที่ประสาทสัมผัสบอกว่าเรามีร่างกายอยู่นั้น ก็ไม่ใช่สิ่งที่จริงแท้ดังที่เขาได้พิสูจน์มาแล้ว เดการ์ตสรุปที่จุดนี้ว่า เขาสามารถกล่าวได้แค่ว่าเขาเป็น 'อะไรบางสิ่งที่กำลังคิด' เท่านั้น การกำลังคิดนั้นเป็นแก่นสารที่แท้ของเขา เนื่องจากว่าเป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่อยู่เหนือการสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น
เขาอธิบายเพิ่มเติมเพื่อแสดงขีดจำกัดของประสาทสัมผัส โดยยกตัวอย่างของขี้ผึ้ง เขาพิจารณาชิ้นขี้ผึ้งชิ้นหนึ่ง ประสาทสัมผัสของเขาบอกให้ทราบถึงลักษณะต่าง ๆ ของขี้ผึ้งก้อนนั้น เช่นรูปร่าง ผิว ขนาด สี กลิ่น และอื่น ๆ อย่างไรก็ตามเมื่อเขานำขี้ผึ้งนั้นเข้าใกล้ไฟ ลักษณะต่าง ๆ เหล่านี้ก็เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง แต่ก้อนขี้ผึ้งก้อนนี้อย่างไรก็เป็นก้อนเดิม แต่ว่าประสาทสัมผัสของเขานั้นบอกว่าลักษณะของมันไม่เหมือนเดิมแล้ว ดังนั้น การจะเข้าใจธรรมชาติของขี้ผึ้งได้นั้น เขาไม่สามารถใช้ประสาทสัมผัสได้ เขาจะต้องใช้จิต เขาสรุปว่า:
"ดังนั้น สิ่งที่ฉันคิดว่าฉันเห็นด้วยตานั้น จริงแล้วฉันรู้มันโดยผ่านทางเครื่องมือสำหรับตัดสินใจ นั่นก็คือจิตของฉัน"
เขาใช้วิธีในลักษณะนี้ในการสร้างระบบความรู้ โดยละทิ้งสัญชาน (ข้อมูลที่ได้จากการรับรู้ผ่านทางประสาทสัมผัส) เนื่องจากเชื่อถือไม่ได้ และยอมรับความรู้ที่สร้างผ่านทางการนิรนัยเท่านั้น ในช่วงกลางของ การครุ่นคิด เขายังได้อ้างว่าได้พิสูจน์การมีอยู่ของพระเจ้าที่มีเจตนาดี ผู้มอบจิตที่สามารถทำงานได้ให้กับเขารวมถึงระบบรับรู้ และจะไม่หลอกลวงเขา ดังนั้นเขาจึงสามารถแสดงความเป็นไปได้ในการสร้างความรู้เกี่ยวกับโลก โดยใช้การนิรนัยร่วมกับ ข้อมูลที่ได้จากการรับรู้ผ่านทางประสาทสัมผัส
นักคณิตศาสตร์ยกย่องเดการ์ตจากการค้นพบเรขาคณิตวิเคราะห์ ในยุคสมัยของเดการ์ตนั้น เรขาคณิตซึ่งศึกษาเกี่ยวกับเส้นและรูปร่าง กับพีชคณิตที่ศึกษาเกี่ยวกับตัวเลข ถูกจัดว่าเป็นสาขาย่อยของคณิตศาสตร์ที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย เดการ์ตแสดงวิธีการแปลงปัญหาในเรขาคณิตมากมาย ให้เป็นปัญหาทางพีชคณิต โดยใช้ระบบพิกัดคาร์ทีเซียนในการอธิบายปัญหา
ทฤษฎีของเดการ์ตเป็นพื้นฐานของแคลคูลัสของนิวตันและไลบ์นิซ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของคณิตศาสตร์สมัยใหม่ ทั้ง ๆ ที่งานในส่วนนี้เดการ์ตตั้งใจจะใช้เพื่อเป็นเพียงแค่ตัวอย่าง ในหนังสือ Discourse on Method เท่านั้น

[แก้]ผลงานเขียน


วันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Flash mob

 
 
           A flash mob (or flashmob) is a group of people who assemble suddenly in a place, perform an unusual and seemingly pointless act for a brief time, then disperse, often for the purposes of entertainment, satire, and artistic expression.  Flash mobs are organized via telecommunications, social media, or viral emails.
The term, coined in 2003, is generally not applied to events and performances organized for the purposes of politics (such as protests), commercial advertisement, publicity stunts that involve public relation firms, or paid professionals. In these cases of a planned purpose for the social activity in question, the term smart mobs is often applied instead.
 
 
History
 
    First flash mob
The first flash mobs were created in Manhattan in 2003, by Bill Wasik, senior editor of Harper's Magazine. The first attempt was unsuccessful after the targeted retail store was tipped off about the plan for people to gather.  Wasik avoided such problems during the first successful flash mob, which occurred on June 3, 2003, at Macy's department store, by sending participants to preliminary staging areas—in four Manhattan bars—where they received further instructions about the ultimate event and location just before the event began.
More than 130 people converged upon the ninth floor rug department of the store, gathering around an expensive rug. Anyone approached by a sales assistant was advised to say that the gatherers lived together in a warehouse on the outskirts of New York, that they were shopping for a "love rug", and that they made all their purchase decisions as a group. Subsequently, 200 people flooded the lobby and mezzanine of the Hyatt hotel in synchronized applause for about 15 seconds, and a shoe boutique in SoHo was invaded by participants pretending to be tourists on a bus trip.
Wasik claimed that he created flash mobs as a social experiment designed to poke fun at hipsters and to highlight the cultural atmosphere of conformity and of wanting to be an insider or part of "the next big thing" The Vancouver Sun wrote, "It may have backfired on him ... [Wasik] may instead have ended up giving conformity a vehicle that allowed it to appear nonconforming."In another interview he said "the mobs started as a kind of playful social experiment meant to encourage spontaneity and big gatherings to temporarily take over commercial and public areas simply to show that they could".
 

วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2555

The Big Blue


Le Grand Bleu

Theatrical poster
Directed byLuc Besson
Produced byPatrice Ledoux
Screenplay byLuc BessonRobert Garland
Marilyn Goldin
Jacques Mayol
Marc Perrier
Story byLuc Besson
StarringRosanna Arquette
Jean-Marc Barr
Jean Reno
Music byÉric Serra (Original)Bill Conti (US version)
CinematographyCarlo Varini
Editing byOlivier Mauffroy
Distributed byGaumont (France)20th Century Fox (US and Worldwide)
Release date(s)1988
Running time168 minutes
CountryFrance
United States
Italy
LanguageFrench
English
Italian
BudgetFRF 80,000,000[1]
Box office$3,580,882[2]
The Big Blue (French: Le Grand Bleu) is a 1988 English-language Cinéma du look film made by French director Luc Besson. The film stars Jean-Marc Barr, Rosanna Arquette, Jean Reno and depicts a fictionalized account of the sporting rivalry between two famed free divers.

วันเสาร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2555

คอร์กแคมเบียม

 
          คอร์กแคมเบียม (อังกฤษ: Cork cambium) หรือ เฟลโลเจน (อังกฤษ: Phellogen) พัฒนามาจากเนื้อเยื่อถาวรในอีพิเดอร์มิส คอร์เท็กซ์ และเพอริไซเคิล สร้างเนื้อเยื่อคอร์ก ห่อหุ้มรากและลำต้น จัดเป็นเนื้อเยื่อเจริญทางด้านข้าง แบ่งเซลล์ออกสู่ด้านนอกจะเป็นคอร์ก แบ่งตัวเข้าด้านในลำต้นจะเป็นเฟลโลเดอร์ม เซลล์เรียงตัวหนาชั้นเดียว ไม่มีช่องว่างระหว่างเซลล์ มีคลอโรพลาสต์และแทนนิน

วันอังคารที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2555

BIG


Big is a 1988 fantasy film directed by Penny Marshall, and stars Tom Hanks as Josh Baskin, a young boy who makes a wish "to be big" to a magical wishing machine and is then aged to adulthood overnight. The film also stars Elizabeth Perkins, and Robert Loggia and was written by Gary Ross and Anne Spielberg.
Big was the latest, and most successful, of a series of age-changing comedies produced in the late 1980s, the others being: Like Father Like Son (1987), 18 Again! (1988), Vice Versa (1988), and the
Italian film Da grande (1987).[


File:Big Poster.jpg