วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

จ้ำจี้มะเขือเปาะ กระเทาะหน้าแว่น พายเรืออ้อนแอ้น กระแท่นต้นกุ่ม สาวๆ หนุ่มๆ อาบน้ำท่าไหน อาบน้ำท่าวัด เอาแป้งที่ไหนผัด เอากระจกที่ไหนส่อง เยี่ยมๆ มองๆ นกขุนทองร้องกรู๊

Q:  จ้ำจี้มะเขือเปาะ กระเทาะหน้าแว่น พายเรืออ้อนแอ้น กระแท่นต้นกุ่ม สาวๆ หนุ่มๆ อาบน้ำท่าไหน อาบน้ำท่าวัด เอาแป้งที่ไหนผัด เอากระจกที่ไหนส่อง เยี่ยมๆ มองๆ นกขุนทองร้องกรู๊

ใครจะนึกบ้างว่า บทอาขยาน นี้จะแทรกคติธรรมเอาไว้ อย่างลึกซึ้ง ก็ที่ว่า

จ้ำจี้ นั้น น่าจะหมายความว่า ผู้ใด ถูกผู้หนึ่ง จ้ำจี้จ้ำไช

รูปมะเขือขื่น/มะเขือเปาะ

มะเขือเปาะ 
  น่าจะหมายความว่า ผู้ใด ถูกผู้หนึ่ง จ้ำจี้จำไช ย่อมได้รับความขมขื่นเหมือนเคี้ยวกลืนลูกมะเขื่อขื่น
กระเทาะหน้าแว่น น่าจะหมายความว่า ผู้ที่ถูกจ้ำจี้จำไชนั้น ย่อมมีทั้งที่ สายตาสั้น สายตายาว และสายตาเอียง ก็เลยต้องใส่แว่น บ้างก็ใส่แว่นสีชา สีดำ สีฟ้า สีเหลือง ฯลฯ ฉะนั้น เมื่อ ใส่แว่นสีอะไร ก็ย่อมที่จะเห็น ภาพเป็นสีนั้นๆ การที่จะทำให้ผู้ที่ถูกจำจี้จำไช มองเห็นภาพ ตามความเป็นจริง ก็ต้อง กระเทาะแว่นตาของเขาผู้นั้นออกเสียก่อน
พายเรือ อกแอ่น (อ้อนแอ้น) น่าจะหมายความว่า คนที่ถูกจ้ำจี้จำไช นั้น เกิดความขมขื่น เหมือนกลืนมะเขือขื่นแล้ว ก็คงจะพายเรือหนี เพราะไม่ชอบที่จะฟัง คำจ้ำจี้จำไช นั้นต่อไป พายเรืออ้อนแอ้นไปมา ใน ห้วง โอฆสงสาร (โอฆสงสาร เป็นภาษาบาลี เป็นคำนาม แปลว่า การเวียนเกิดเวียนตายในห้วงของกิเลส. 
กระแท่นต้นกุ่ม น่าจะหมายความว่า พายเรือ จ้ำพาย ได้อย่างกระท่อนกระแท่น สะเปะสะปะ ไปถูกต้น กุ่ม ทำให้ดูน่า สมเพชเวทนายิ่งนัก
ภาพต้นกุ่ม 


สาวๆ หนุ่มๆ อาบน้ำท่าไหน อาบน้ำท่าวัด น่าจะหมายความว่า ก่อนจะพายเรือออกไปจากท่านั้นน่ะ อาบน้ำที่ท่าน้ำของวัดไหน?

อนึ่ง การอาบน้ำ นั้น พระท่านมักที่จะเปรียบเปรยว่าการ  ทำดี แต่ไม่ละชั่ว เหมือนแต่งตัว แต่ไม่อาบน้ำ  การ ละชั่ว แต่ไม่ทำดี ก็เหมือนอาบน้ำ แต่ไม่แต่งตัว (หรืออาจจะหมายความว่า ท่านมีวัดไหน มีพระเถระ องค์ไหนเป็นที่พึ่งที่ระลึก? ในยามที่ท่านพายเรือ อยู่ในห้วง วัฎสงสาร)

เอาแป้งที่ไหนผัด น่าจะหมายความว่า คุณงามความดี อันเปรียบเสมือน แป้ง ที่ใช้ฉาบทา ตัว ท่านนั้น ท่านมีแล้วหรือยัง? ท่านทำความดี หรือแสวงหาความดี ดังเช่นแสวงหาแป้งเพื่อเอาไว้ผัดทาตน แล้วหรือยัง?

เอากระจกที่ไหนส่อง น่าจะหมายความว่า ท่านมี กัลยาณมิตร ที่เปรียบเสมือนกระจก เพื่อเอาไว้ส่องความดี ความเลว ของท่านแล้วหรือยัง (เอากระจกที่ไหนส่อง)

เยี่ยมๆ มองๆ น่าจะหมายความว่า กระจกนั้น มีเอาไว้เพื่อ เมียงมอง ให้เห็น ว่า แป้งที่ท่านผัดบนใบหน้าของท่านนั้น งามหน้า  ดีหรือไม่นั่นเอง

นกขุนทองร้องกรู๊ น่าจะหมายความว่า  เสียงนกเสียงกา ที่คอยจะมาร้องทัก ท่าน เสียงนกขุนทองร้องกรู๊ นี้ ก็คือหนึ่งใน โลกธรรมแปด นั่นคือ คำสรรเสริญ ซึ่งคู่กับ คำนินทา หากท่านไม่ชื่นชมยินดี เมื่อถูกสรรเสริญ ท่านก็ย่อมไม่เศร้าสร้อย เมื่อถูกนินทา เสียงต่างๆ ก็ย่อมเหมือนกับเสียงนกเสียงกา นั่นเอง 

เมื่อเขียนถึง ว่าด้วยเรื่องการอาบน้ำ ที่ท่าน้ำนี้ ก็อดคิดถึง พระลอ เสียมิได้ พระลอนั้น ก่อนที่จะเสด็จไป หาพระเพื่อนพระแพงที่เมืองสอง ก็ได้ หยุดพัก สรงน้ำ ที่ริมฝั่ง แม่น้ำกาหลง 

ในครานั้น พระลอได้ เสี่ยง(ทาย)น้ำ ว่าหากไป ไปเมืองสอง ถ้าบ่รอดกลับคืนมา ก็ขอให้น้ำในแม่น้ำกาหลงซึ่งไหลเชี่ยวกรากอยู่นี้ จงเปลี่ยนเป็นไหลวน ด้วยเถิด เพี้ยง และแล้วน้ำในแม่น้ำกาหลงซึ่งไหลเชี่ยวกรากอยู่นั้น ก็ไหลวนข้นขุ่นเป็นสีแดง ดัง คำโคลงที่ว่า

๒๙๖ มากูจะเสี่ยงน้ำ-                    นองไป ปรี่นา
(แม่)น้ำชื่อกาหลงไหล-                 เชี่ยวแท้
ผิว์ กูจะคลาไคล-                          บ รอด คืนนา
น้ำจุ่งเวียนวนแม้-                         รอดไส้(ไซร้)จงไหล

๒๙๗ ครั้นวางพระโอษฐน้ำ-           เวียนวน อยู่นา
เห็นแก่ตา แดงกล-                        เลือดย้อม
หฤทัย รทดทน                             ทุกข์ใหญ่ หลวงนา
ถนัดดั่งไม้ร้อยอ้อม                       เท่าท้าวทับทรวง ฯ

๒๙๘ บ ให้คนรู้เรื่อง-                   ฝืนใจ อยู่นา
ขึ้นจากสรงเสด็จใน-                    อาสน์ไท้
ยังสุวรรณพพลาไชย                   ใจดั่ง นี้นา
ปิดม่านละห้อยไห้                      ออกท้าวบุญเหลือ ลูกเอย

๒๙๙ พระตายจงลูกได้-              เห็นผี ท่านนา
ผีลูกตาย กษัตรีย์                       แม่ได้-
เผาศพลูก อย่ามี-                      อุจาด ราแม่
ฤๅบ่ร้างเผาผีไท้                        บ่ร้างได้เผาผี ลูกเอย ฯ 


เมื่อพระลอ ทราบผลการเสี่ยงน้ำ ก็ให้รู้สึกเหมือนกับว่ามี ต้นไม้ใหญ่ซึ่งมีขนาดลำต้นเท่าคนร้อยคนโอบด้วยอ้อมแขน มาล้มทับที่อกของตน หลังจากทรงสรงน้ำเสร็จ ก็เสด็จขึ้นจากท่าสรงน้ำนั้น โดยที่มิได้เอ่ยปากให้ข้าราชบริพารได้รับรู้ จากนั้นก็ทรงเสด็จเข้าสู่พลับพลาที่ประทับ ทรงพระกรรแสง แต่ทั้งๆ ที่รู้ ว่าหากไปเมืองสอง แล้วจะไม่รอดกลับมา แต่ก็ยังคงดื้อรั้นที่จะไป ด้วยเพราะอำนาจแห่งกิเลสตัณหา พระลอนึกในใจว่าแม้นตัวตายก็ยังมี พระนางบุญเหลือ (พระมารดา) คอยเป็นธุระเผาศพ กวีบรรยายความไว้อย่างกินใจ



อนุสติ
 

เวลาอาบน้ำอาบท่า ก่อนที่จะไปทำการทำงานที่ไหนทุกครั้ง ก็ควรที่จะลองเสี่ยงน้ำ กันดูบ้าง

คนอย่างพระลอ นั้น รูปงาม แต่ไม่มีสมอง รู้ทั้งรู้ว่า หากกระทำการณ์บางอย่างแล้วได้ไม่คุ้มเสีย แต่ก็ยังดื้อ ยังรั้นที่จะทำ (พระลอรู้ชะตากรรมของตนเอง จากการเสี่ยงน้ำนั้น) ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดเลย  ยังดีที่ พระลอยังมี พระนางบุญเหลือ (พระมารดา) คอยทำศพให้ ในยามที่ เสด็จสวรรคาลัย

หันกลับมามองคนในยุคนี้สมัยนี้ คนบางคนนี่สิ น้ำก็ไม่รู้จักที่จะเสี่ยง แถมจะไปทำอะไรที่ไหน ก็ยังไม่ชัดแจ้งด้วยวัตถุประสงค์ แต่ก็ยังคิดที่จะไป เห้อ   สงสัย เป็น พระลอ กลับชาติมาเกิดกันล่ะหนอ ว่าแต่ว่า ถ้าไปแล้วบ่รอด กลับคืนมา ใครจะเป็นธุระเผาผี ให้ล่ะนั่น



อ้างอิง

(1) มะเขือเปราะ BRINJAL [cited 2008 November 10]. Available from:  http://www.thaiinfonet.com/user/fruit_vegetables/page4.html


(2) มะเอ๋ย เขือเปราะ BRINJAL [cited 2008 November 10]. Available from: http://edtech.kku.ac.th/~s47321275012/475050280-5/page6.html

(3) พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ฉบับออนไลน์ [cited 2008 November 11].  Available from: URL; http://rirs3.royin.go.th/new-search/word-search-all-x.asp

(4) ต้นกุ่ม [cited 2008 November 11].  Available from: URL; http://www.rakbankerd.com/agriculture/wb/view.php?Category=agriculture&pic=1207301550_96391207301550_9639.jpg

(5) ลิลิตพระลอ  [cited 2008 November 10]. Available from:http://olddreamz.com/bookshelf/praloh/content3.htm

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น