วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2556

คอนสแตนติโนเปิล


คอนสแตนติโนเปิล (อังกฤษConstantinople, (กรีกΚωνσταντινούπολις(Konstantinoúpolis) หรือ ἡ Πόλις (hē Pólis), ภาษาละตินCONSTANTINOPOLIS, ภาษาออตโตมันตุรกี (ทางการ) : قسطنطينيه Konstantiniyye) คอนสแตนติโนเปิลเป็นเมืองหลวง(กรีกΒασιλεύουσα ('Basileúousa)) ของจักรวรรดิโรมัน ระหว่างปี ค.ศ. 330 ถึง ค.ศ. 395; ของจักรวรรดิไบแซนไทน์ ระหว่างปี ค.ศ. 395 ถึง ค.ศ. 1204 และระหว่างปี ค.ศ. 1261 ถึง ค.ศ. 1453; ของจักรวรรดิละติน ระหว่างปี ค.ศ. 1204 ถึง ค.ศ. 1261) ; และของจักรวรรดิออตโตมัน ระหว่างปี ค.ศ. 1453 ถึง ค.ศ. 1922
คอนสแตนติโนเปิลตั้งอยู่ระหว่างโกลเด็นฮอร์น (Golden Horn) และทะเลมาร์มารา(Sea of Marmara) ตรงจุดที่ทวีปยุโรปพบกับทวีปเอเชีย ไบแซนไทน์คอนสแตนติโนเปิลเป็นเมืองหลวงของคริสต์ศาสนจักรต่อจากกรีกโบราณ และโรมันโบราณ ตลอดยุคกลางคอนสแตนติโนเปิลเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรป และร่ำรวยที่สุด
ชื่อของเมืองก็ขึ้นอยู่กับผู้ใดเป็นผู้ครองแต่ที่รู้จักกันก็ได้แก่ ไบแซนเทียม(Byzantium) (กรีก: Βυζάντιον (Byzántion), โรมใหม่ (กรีกΝέα Ῥώμη (Néa Rhōmē), ละตินNova Roma), คอนสแตนติโนเปิล และ สตัมบูล (Stamboul) บางทีก็เรียกว่า ซาร์กราด (“เมืองแห่งจักรพรรดิ”) โดยชนสลาฟ, ขณะที่ไวกิงเรียกว่า มิคลากราด (Miklagård) หรือ “the Great City” ซึ่งคล้ายกับภาษากรีกที่เรียกเมืองใหญ่ๆ ว่า “the City” (ἡ Πόλις (hē Pólis))
คอนสแตนติโนเปิลได้รับการขนานนามใหม่เป็นภาษาตุรกีสมัยใหม่ว่า “อิสตันบุล” ในปี ค.ศ. 1930 เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปตุรกีของอดีตนักการเมืองและนายกรัฐมนตรีตุรกีมุสตาฟา เคมาล อาตาเติร์ค (Mustafa Kemal Atatürk)  ซึ่งเป็นชื่อที่มาจากวลีกรีก “eis tēn polin” ที่แปลว่า “แก่เมืองคอนสแตนติโนเปิล”

       
1.ประวัติการก่อตั้งกรุงคอนสแตนติโนเปิล           
       คำว่า  “คอนสแตนติโนเปิล”  มาจากคำว่า  “คอนสแตนติน”  ซึ่งเป็นชื่อของจักรพรรดิผู้ก่อตั้งกรุงแห่งนี้  และคำว่า “โอเปิล” ซึ่งแปลว่า  “เมือง  หรือนคร” ดังนั้นคอนสแตนติโนเปิลจึงหมายถึง“นครหรือกรุงคอนสแตนติน”นั้นเอง            กรุงคอนสแตนติโนเปิลเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรไบแซนไทน์หรืออาณาจักรโรมันตะวันออก  ซึ่งสร้างขึ้นโดยจักรพรรดิคอนสแตนตินบุตรของคอนสแตนตินัสแห่งโรมัน[1]  ก่อนหน่าที่เมืองหลวงอาณาจักรโรมันตะวันออกหรือไบแซนไทน์จะย้ายมาอยู่  ณ กรุงคอนสแตนติโนเปิลแห่งนี้  อาณาจักรไบแซนไทน์มีเมืองหลวงอยู่ที่กรุงโรมา  ต่อมาหลังจากที่จักรพรรดิคอนสแตนตินขึ้นครองราชย์ระหว่างปี  ค.ศ.  306-307  ก็เริ่มมองหาทำเลใหม่ที่เหมาะสมเพื่อเปลี่ยนสถานที่ตั้งเมืองหลวง  อันสือเนื่องมาจากความแตกแยกภายในซึ่งเป็นเหตุทำให้ทั่วราชอาณาจักรไบแซนไทน์  เกิดความทรุดโทรมและหายนะเป็นอย่างมาก  ความหายนะดังกล่าวทำให้อาณาจักรไบแซนไทน์หรือโรมันตะวันออกไม่มีเสถียรภาพและเกิดความระส่ำระสายและบ่งย้ำเตือนถึงความพินาศย่อยยับในเวลาอันใกล้  และแล้วจักรพรรดิคอนสแตนตินก็พบกับเมืองใหม่ที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการเป็นเมืองหลวงซึ่งตั้งอยู่ระหว่างเมืองหลวงระหว่างเอเชียกับยุโรป  ดังนั้นในปี  ค.ศ.  324  จักรพรรดิคอนสแตนตินจึงได้ยกทัพไปยึดเมืองดังกล่าว  และได้ทำการบูรณะซ่อมแซมและปรับปรุงเมืองใหม่  ด้วยการสร้างกำแพงและป้อมปราการต่างๆ  ในปี  324 การซ่อมแซมและบูรณะในครั้งนี้ใช้เวลาถึง  6  ปี  และได้จัดงานเลี้ยงฉลองอย่างใหญ่โต  หลังจากที่การก่อสร้างและซ่อมแซมให้แล้วเสร็จ  เมื่อวันที่  11  เดือนพฤษภาคม  ค.ศ.  330  และงานเลี้ยงฉลองในครั้งนี้กินเวลาถึง  40  วันด้วยกัน[2]  หลังจากนั้นจักรพรรดิคอนสแตนตินก็ทำการย้ายเมืองหลวงจากกรุงโรมา  มาอยู่ที่เมืองใหม่แห่งนี้และได้ตั้งชื่อใหม่ว่า  “คอนสแตนติโนเปิล”  ตามชื่อของจักรพรรดิ
            นับตั้งแต่นั้นมากรุงคอนสแตนติโนเปิลแห่งนั้นก็กลายเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรโรมันตะวันออกหรือไบแซนไทน์ตลอดมา.[3]
2.ลักษณะที่ตั้งทางภูมิศาสตร์และความสำคัญ         
      กรุงคอนสแตนติโนเปิลเป็นเมืองที่มีลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่สวยงามอย่างยิ่งอย่างไม่มีที่เทียบได้  ตั้งอยู่ในเขตทวีปเอเชียและทวีปยุโรปมาบรรจบกันและถูกล้อมรอบด้วยมหาสมุทรทั้งสามทิศ  ซึ่งตั้งอยู่เป็นรูปสามเหลี่ยม  โดยด้านทิศตะวันออกติดกับช่องแคบบอสฟอรัส  (BOSFORUS) ทิศตะวันตกเฉียงใต้ติดกับทะเลมารมารา  (MARMARA  SEA)  และทิสตะวันตกเฉียงเหนือติดกับท่าเรือที่ทอดยาวคล้ายรูปคันธนู  ชื่อก้อรนุน  ซะฮะบีย์  (GORDEN  HORN)  ซึ่งถือว่าเป็นท่าเรือที่ยาวและปลอดภัยที่สุดท่าเรือหนึ่งของโลก  ส่วนทิศที่สามซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกติดกับยุโรป  โดยมีกำแพงใหญ่อันแข็งแก่งสองชั้นกั้นไว้อย่างหนาแน่นมีความยาวถึง  4  ไมล์  ซึ่งเริ่มตั้งแต่ชายฝั่งทะเลมารมาราทอดยาวไปจนถึงชายฝั่งของท่าเรือก้อรนุน  ซะฮะบีย์            กรุงคอนสแตนติโนเปิลไม่เพียงแต่มีสภาพที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่งดงามเท่านั้น  มันยังมีสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและพื้นดินที่อุดมสมบูรณ์ด้วย  และมีสภาพอากาศที่อบอุ่นอยู่ในระดับปานกลาง  ซึ่งสภาพทางอากาศจะไม่ร้อนจัดในช่วงฤดูร้อนและจะไม่หนาวจัดอีกเช่นกันในช่วงฤดูหนาว[4]  และสือเนื่องจากกรุงคอนสแตนติโนเปิลมีเขตแดนที่บรรจบกับทะเลถึงสองฟาก  จึงทำให้กรุงคอนสแตนติโนเปิลกลายเป็นเมืองท่าที่เป็นเส้นทางค้าขายที่สำคัญยิ่ง  เพราะสินค้าทุกอย่างที่เดินทางมากับเรือที่มาจากจีน  อินเดีย  และอาหรับล้วนแต่ต้องผ่านและจอดเทียบท่าเรือกรุงคอนสแตนติโนเปิลหรือท่าเรือก้อรนุน  ซะฮะบีย์ทั้งสิ้นก่อนที่จะเดินทางมุ่งไปยังยุโรปต่อไป 
          กรุงคอนสแตนติโนเปิลไม่ได้เป็นเพียงศูนย์กลางการค้าขายเท่านั้น  แต่ยังเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมที่ใหญ่โตในแถบทะเลเมดิเตอเรเนียนทั้งหมด  ซึ่งได้ทำการส่งออกผลิตภัณฑ์ที่ได้จากกระดาษปาปิรัส  สิ่งทอต่างๆ  และผลิตภัณฑ์กระจก  ยิ่งกว่านั้นกรุงคอนสแตนติโนเปิลยังมีนโยบายเฉพาะด้านเศรษฐกิจหลายๆ อย่าง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายการผูกขาดด้านการผลิตและซื้อขายเหรียญกษาปณ์[5]
3.ความสำคัญด้านยุทธศาสตร์        
          เนื่องจากสภาพที่ตั้งของกรุงสแตนติโนเปิลอยู่ในทำเลที่เต็มไปด้วยการป้องกันด้านยุทธศาสตร์ที่ยากแก่การรุกรานและโจมตี  จึงทำให้กรุงแห่งนี้เป็นที่หมายปองของบรรดาผู้ปกครองทั้งหลายเพื่อที่จะยึดเอากรุงแห่งนี้ไว้เป็นศูนย์บัญชาการทางทหารหรือเมืองหลวงของตนนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน.            เกี่ยวกับความสำคัญด้านยุทธศาสตร์ของกรุงคอนสแตนติโนเปิลนี้จอมทัพนโปเลียนโบนาปาร์ตกล่าวว่า  :     “ หากแม้นว่าโลกนี้ทั้งโลกมีเพียงอาณาจักรเดียว  แน่นอน���ย่างยิ่งว่ากรุงคอนสแตนติโนเปิลเป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดที่จะเป็นเมืองหลวง ”[6]            นโปเลียนยังได้กล่าวในบันทึกส่วนตัวของท่านซึ่งได้เขียนในขณะที่ท่านถูกเนรเทศอยู่ที่เกาะสันติลานาว่า:“เขาได้ใช้ความพยายามหลายต่อหลายครั้งเพื่อทำความตกลงกับรัสเซียในเรื่องการแบ่งปันเมืองอาณานิคมของอาณาจักรออตโตมาน  แต่ทุกครั้งที่กล่าวถึงกรุงคอนสแตนติโนเปิลก็จะเกิดปัญหาการโต้แย้งขึ้นมาทันที  จนกระทั่งไม่สามารถทำการตกลงกันได้  เพราะรัสเซียพยายามจะผลักดันให้แบ่งกรุงคอนสแตนติโนเปิลให้กับเขา  ส่วนนโปเลียนเห็นว่า  “กรุงคอนสแตนติโนเปิลเป็นเมืองยุทธศาสตร์ที่ดีเยี่ยม  ซึ่งมันเปรียบเสมือนกุญแจโลก  หากใครได้ครอบครองมันแล้วก็เท่ากับว่าเขาได้ครอบครองโลกนี้ทั้งโลกเลยทีเดียว”[7]
[1] อันนะวาวีย์,  1415 :  18 : 229,  อัลบักรีย์ 1371 :1074
[2] ฟะห์มีย์ : 17
[3] ยากูต :  4 : 348  อับดุลสลาม  ฟะห์มีย์ :16
[4] ยากูต : 4:348  ฟะห์มีย์  : 48   อัลรอซิดีย์  : 26
[5] หลุยส์ : 16-17
[6] อัลรอซิดีย์ : 27  คอตตอบ : 10 (มลายู)
[7] คอตตอบ : 11-12

Credit : wikipedia.org
                 http://www.gotoknow.org

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น