วันเสาร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2555

เพลงพิณโบราณ


เพลงที่เล่นด้วยคายากึมแบบดั้งเดิม
a
คายากึมเพลงอารีรัง


หลายคนอาจจะเคยฟัง Canon in D ของ Pachelbel มาหลากหลายเวอร์ชั่นแล้ว
เวอร์ชั่น "คายากึม"
ด้วยคลิปต่อไปนี้เลยค่ะ
มีอีกเพลง ของบีโธเฟน
แถมด้วยแบบฮิปฮอป
เพลงประกอบโฆษณาการท่องเที่ยวเกาหลี

โกมังกู 거문고 or 현금

“โกมังกู” (geomungo) หรือ “ฮยอนกึม” (hyeongeum) เป็นเครื่องสายโบราณของเกาหลี เหล่าบัณฑิตเชื่อกันว่าชื่อนี้มาจากคำว่า “โกคูรยอ” และโดยความหมายก็คือ “พิณแห่งโกคูรยอ” หรืออีกนัยหนึ่งก็แปลได้ว่า “พิณสีดำ”

เครื่องสายชนิดนี้มีปรากฏมานานตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 จนถึงศตวรรษ 7 ในสมัยอาณาจักรโกคูรยอ ตามที่ปรากฏใน Samguk Sagi หรือตำนานแห่ง 3 อาณาจักร  ซึ่งเขียนไว้ในปี ค.ศ. 1145 “โกมังกู” ประดิษฐ์โดยเสนาบดี Wang San-ak โดยมีต้นแบบจากเครื่องสายโบราณของจีน “กู่เจิ้ง” (พิณ 7 สาย) โดยมีหลักฐานการปรากฏของเครื่อสายชนิดนี้อยู่ในภาพวาดในสุสานสมัยโกคูรยอ

“โกมังกู” มีความยาวประมาณ 162 ซ.ม. และกว้าง 23 ซ.ม. (ยาว 63.75 นิ้ว และกว้าง 9 นิ้ว) มีสายทั้งหมด 16 สาย เวลาเล่นผู้บรรเลงต้องนั่งบนพื้น แล้วใช้ไม้ดีดที่จับด้วยมือขวา ในขณะที่มือซ้ายกดที่สายพิณเพื่อให้เกิดเสียงสูงต่ำ 
 เครื่องดนตรีชนิดนี้ใช้บรรเลงทั้งบทเพลงในราชสำนักและบทเพลงพื้นบ้าน
ตามรูปพรรณสัณฐานและวิธีการเล่นทำให้คนมักเชื่อกันว่านี่เป็นเครื่องดนตรีที่เหมาะสำหรับ “ผู้ชาย” มากกว่า “กยากึม” (gayageum) พิณเกาหลีอีกแบบที่มี 12 สาย แต่เครื่องดนตรีทั้ง 2 ชนิดสามารถเล่นได้ทั้งหญิงและชาย

จินฮีคิม ชาวอเมริกันเชื้อสายเกาหลี ซึ่งเป็นทั้งนักดนตรีและนักแต่งเพลง ได้เล่นโกมังกูไฟฟ้าที่ประดิษฐ์ขึ้นใหม่เพื่อให้กลายเป็นเครื่องดนตรีแบบสากล



Geomungo [ 거문고 or 현금 ]

The geomungo or hyeongeum (literally "black zither") is a traditional Korean stringed musical instrument of zither family instrument with both bridges and frets. Scholars believe that the name refers to Goguryeo and translates to "Goguryeo zither" or that it refers to the colour and translates to "black crane zither".

The instrument originated circa the fourth century through the 7th century from the kingdom of Goguryeo, the northernmost of the Three Kingdoms of Korea, although the instrument can be traced back to the 4th century.

According to the Samguk Sagi (Chronicles of the Three Kingdoms), written in 1145, the geomungo was invented by prime minister Wang San-ak, by using the form of the ancient Chinese instrument gugin (also called chilhyeongeum, literally "seven-string zither"). Archetype of the instrument is painted in Goguryeo tombs. They are found in the tomb of Muyongchong and Anak Tomb No.3.

The geomungo is approximately 162 cm long and 23 cm wide (63.75 inches long, 9 inches wide), and has movable bridges called Anjok and 16 convex frets. It has a hollow body where the front plate of the instrument is made of paulownia wood and the back plate is made of hard chestnut wood. Its six strings, which are made of twisted silk passed through its back plate. The pick is made from bamboo sticks in the size of regular household pencil.

The geomungo is generally played while seated on the floor. The strings are plucked with a short bamboo stick called suldae, which is held between the index and middle fingers of the right hand, while the left hand presses on the strings to produces various pitches. The most typical tuning of the open strings for the traditional Korean music is D#/Eb, G#/Ab, C, A#/Bb, A#/Bb, and A#/Bb an octave lower than the central tone. The instrument is played in traditional Korean court music and the folk styles of sanjo and sinawi.

Due to its characteristically percussive sound and vigorous playing technique it is thought of as a more "masculine" instrument than the 12-string gayageum (another Korean zither); both instruments, however, are played by both male and female performers.

The Korean-born, U.S. resident geomungo performer and composer Jin Hi Kim plays a custom-made electric geomungo in addition to the regular instrument.

[Special Thanks to wikipedia.org]

วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2555

29 ก.พ.วัน "Leap Day"สาวๆขอผู้ชายแต่งงานได้..ไม่น่าเกลียด

ในวันที่ 29 กุมภาพันธ์นี้ ตามธรรมเนียมความเชื่อของชาวตะวันตกตั้งแต่ค.ศ.500 โดยเฉพาะเริ่มต้นจากในไอร์แลนด์มีธรรมเนียมให้ผู้หญิงสามารถขอผู้ชายแต่งงานได้ เฉพาะในปีอธิกสุรทิน (ปีที่มี 366 วัน) หรือปีที่เดือนกุมภาพันธ์มี 29 วัน ซึ่งในปีนี้มีวันที่ 29 กุมภาพันธ์ โดยชาวตะวันตกเรียกวันนี้ว่า Leap Day และฝรั่งถือว่าผู้หญิงจะขอแต่งงานกับผู้ชายก็ได้ โดยเรียกว่า leap year proposal

ขณะที่ ปี ค.ศ.1288 ในสมัยของราชินีมาร์กาเร็ตแห่งสกอตแลนด์ ได้ออกกฎหมายคุ้มครองเพิ่มเติมขึ้นมาอีก หากผู้หญิงที่ขอผู้ชายแต่งงานในวันดังกล่าวถูกปฏิเสธ ฝ่ายชายต้องชดใช้ค่าเสียหายให้ฝ่ายหญิง อาทิ ด้วยการจูบ หรือต้องต่างตอบแทนด้วยชุดเสื้อผ้าเครื่องประดับ หรือเงิน 



Imagea


สำหรับใครที่ไม่แน่ใจว่า จะกล้าหรือไม่ ลองหาภาพยนตร์ “Leap Year” มาชมกันได้ หนังนำเสนอความเชื่อดั้งเดิมนี้ และใช้เป็นพล็อตในภาพยนตร์โรแมนติกคอมเมดี้ เล่าเรื่อง "แอนนา แบรดดี้" สาวมาดเนี๊ยบสุดระเบียบ (รับบทโดย "เอมี่ อดัมส์")เดินทางจากบอสตันไปหาแฟนที่ทำงานในกรุงดับลิน ไอร์แลนด์ เพื่อขอแฟนหนุ่มแต่งงานกับเธอ แต่สภาพอากาศทำให้การเดินทางต้องทุลักทุเลขึ้นรถลงเรือจนไปเกยฝั่งที่หมู่บ้านเล็กๆในเวลส์ แอนนาต้องจ้างหนุ่มเจ้าของบาร์หน้าโหดกวนประสาท "ดีแคลน" (แมทธิว กู้ดดี้) ขับรถไปส่งเธอให้ทันเวลาขอแฟนแต่งงานนั่นเอง

วันเสาร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2555

พาวเวอร์พัฟฟ์เกิลส์


เดอะพาวเวอร์พัฟฟ์เกิลส์ (อังกฤษThe Powerpuff Girls) เป็นการ์ตูนจากสหรัฐอเมริกา เขียนโดยCraig McCracken เริ่มออกอากาศทางการ์ตูนเน็ตเวิร์ก ในวันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2541 (ค.ศ. 1998) ถึง 25 มีนาคม พ.ศ. 2548 (ค.ศ. 2005)
พาวเวอร์พัฟฟ์เกิลส์ได้รับรางวัลเอมมีในปี พ.ศ. 2543 และ 2548

เรื่องย่อ

พาวเวอร์พัฟฟ์เกิลส์ เกิดจากการทดลองที่ผิดพลาดของ ศจ.ยูโทเนียม โดย ศจ.ยูโทเนียม ต้องการเด็กหญิงสมบูรณ์แบบ โดยการผสมน้ำตาล เครื่องเทศ สารพัดของกุ๊กกิ๊ก และสารเคมี X โดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วเกิดเป็นเด็กหญิง 3 คนได้แก่ บลอสซัม บัตเทอร์คัพ และ บับเบิลส์ พวกเธอเกิดมาพร้อมกับพลังพิเศษ และใช้พลังนี้ในฐานะซูเปอร์ฮีโร่เพื่อช่วยปกป้องโลก ส่วน ศจ.ยูโทเนียม เขาก็รับหน้าที่เลี้ยงดูเหมือนกับเป็นพ่อคนหนึ่ง และคอยให้คำแนะนำสั่งสอน 3 สาวเป็นประจำ ทั้งยังคอยประดิษฐ์คิดค้นของใหม่ ๆ ให้กับพาวเวอร์พัฟฟ์เกิลส์อีกด้วย


                
:: ตัวละครหลัก ::
บลอสซัม (Blossom)
เด็กหญิงอายุ 5 ขวบ ทั้งยังเป็นผู้นำของพาวเวอร์พัฟฟ์เกิลส์อีกด้วย ลักษณะทั่วไปของ
บลอสซัม คือ ไว้ผมยาว และมีผมสีน้ำตาล ใส่ชุดสีชมพู ตาสีชมพู และผูกโบว์สีแดงที่ผม
บลอสซัมเป็นผู้นำกลุ่มพาวเวอร์พัฟฟ์เกิลส์ มีความเป็นผู้นำสูงจนเกินไป ด้วยลักษณะนิสัย
ของเธอนี่เองที่ทำให้เธอดูเหมือนเป็นพี่สาวของบับเบิลส์ และบัตเตอร์คัพ แต่จริง ๆ แล้ว
ทั้ง 3 คนเกิดมาพร้อมกัน มีพลังไอเย็นน้ำแข็ง ที่ต่างจากบัตเทอร์คัพและบับเบิลส์


บัตเทอร์คัพ (Buttercup)
เด็กหญิงอายุ 5 ขวบ ไว้ผมสั้น ใส่ชุดสีเขียว ตาสีเขียว บัตเทอร์คัพ เป็นเด็กสาวห้าวใน
กลุ่มพาวเวอร์พัฟฟ์เกิลส์ ขี้โมโห และชอบโวยวายเหมือนเด็กผู้ชาย ชื่นชอบการต่อสู้ที่มี
ความรุนแรง ในฉบับภาพยนตร์ของ "เดอะพาวเวอร์พัฟฟ์เกิลส์" เปิดเผยว่า ศจ.ยูโทเนียม
ตั้งชื่อว่า "บัตเทอร์คัพ" เพื่อให้มีอักษรนำหน้าด้วย B เหมือนอีกสองคน ชื่อ buttercup
เป็นชื่อดอกไม้ชนิดหนึ่ง เป็นพืชไม้ดอกที่เป็นรูปถ้วยสีเหลืองจำพวก Ranunculus


บับเบิลส์ (Bubbles)
คือเด็กหญิง 5 ขวบ ไว้ผมหางม้า ผมสีทอง ใส่ชุดสีฟ้า ตาสีฟ้า ชอบอุ้มตุ๊กตา บับเบิลส์
เด็กสาวที่เรียบร้อยพอ ๆ กับความเอ๋อ เป็นคนรักสัตว์ รักธรรมชาติ แต่เมื่อบับเบิลส์เกิด
โมโหขึ้นมา ไม่สามารถมีใครหยุดยั้งเธอได้ เธอมีความสามารถในการ คุยภาษาสัตว์และ
ภาษาอื่น ๆ เช่น ภาษาสเปน เป็นต้น

ศาสตราจารย์ยูโทเนียม (Professor Utonium)
เป็นผู้ให้กำเนิดเหล่า "พาวเวอร์พัฟฟ์เกิลส์" ลักษณะของเขาคือชายหนุ่ม ตัวสูงโปร่ง เขา
เป็นนักประดิษฐ์ที่มีความสามารถชั้นยอดคนหนึ่ง ผลงานที่เขาทำส่วนใหญ่จะทำให้พวก
พาวเวอร์พัฟฟ์เกิลส์ใช้ ทั้งยังเป็นพ่อที่ดีคนหนึ่งเลยทีเดียว ฉะนั้นเขาจึงเป็นพ่อตัวอย่าง
อีกคนหนึ่ง เขารักพวกพาวเวอร์พัฟฟ์เกิลส์เหมือนเป็นลูกสาว ทั้งยังคอยให้การเอาใจใส่
ดูแลอย่างดี
:: ตัวละครอื่นๆ ::
 โมโจ โจโจ้ (ลิงชิมแปนซีจอมชั่วร้าย)
 ฮิม(ปีศาจก้ามปูที่มีพลังเหนือมนุษย์)
 แก๊งอะมีบา
 ฟอสซี
 แก๊งขี้ไคล
 ซีดูซ่า
 Ms. Keane
 Townsville
 Ms. Sara Bellum
 Narrator
 สุนัขพูดได้
 นายกเทศมนตรี (Mr.Mayor)
     

วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ตำนานดวงดาว


นานมาแล้ว..สมัยที่โลกยังมีพระจันทร์ 2 ดวง 
มีพระจันทร์ดวงหนึ่งเป็นผู้หญิงกับอีกดวงหนึ่งเป็นผู้ชาย 
และพระจันทร์สองดวงนี้ต่างก็รักกันมาก ดวงจันทร์ทั้ง 2 ไม่เคยแยกห่างจากกัน 
ทุก ๆ คืนเมื่อมองไปบนฟ้า จะเห็นดวงจันทร์ทั้งคู่อยู่เคียงข้างกันเสมอ 

แต่แล้ววันหนึ่งดวงจันทร์ผู้หญิงได้ไปพบกับดวงอาทิตย์ 
ทำให้ดวงจันทร์หลงใหลในแสงเจิดจ้าของดวงอาทิตย์ 
จนเลื่อนตัวตามดวงอาทิตย์ไป ทีละน้อย ๆ 
จนแยกมาจากดวงจันทร์อีกดวงหนึ่งในที่สุด 

เมื่อค่ำคืนมาถึงจึงมีดวงจันทร์ผู้ชายเหลืออยู่เพียงดวงเดียว 
ดวงจันทร์ดวงนั้นจึงได้แต่ตามหาดวงจันทร์ผู้หญิงไปทุกหนทุกแห่ง 
คืนแล้วคืนเล่าผ่านไปดวงจันทร์ผู้ชายก็ไม่สามารถหาดวงจันทร์ผู้หญิงได้พบ 
ด้วยความคิดถึงและอยากพบให้เร็วที่สุด ทำให้ดวงจันทร์ผู้ชายคิดว่า 
“หากเรามัวแต่ตามหาอยู่อย่างนี้คงไม่ได้เจอแน่ๆ” 
จึงตัดสินใจ…..ระเบิดตัวเองเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปทั่วทั้งจักรวาล 
เพื่อให้ชิ้นส่วนแต่ละชิ้นออกตามหาดวงจันทร์อีกดวงหนึ่งนั้น 
…………............................. 

เมื่อเวลาผ่านไปทำให้ดวงจันทร์ผู้หญิงได้เห็นถึงความจริงว่า 
แม้ดวงอาทิตย์จะส่องแสงเจิดจ้าสวยงามสักปานใด 
แต่ดวงอาทิตย์ก็มิได้ส่องแสงเจิดจ้านั้นแต่เพียงตนเท่านั้น 
ยังส่องแสงไปยังดวงอื่น ๆ อีกมากมาย 
ดวงจันทร์จึงกลับมาหาดวงจันทร์ผู้ชายอีกครั้ง… 
แต่หาเท่าไหร่ก็หาดวงจันทร์ผู้ชายไม่พบ 
ต่อมาจึงได้รู้ว่า… 

ดวงจันทร์ผู้ชายยอมระเบิดตัวเองเพียงเพื่อตามหาตนจนกระจัดกระจายเป็นเศษเสี้ยว 
เล็กๆ 
ทำให้ดวงจันทร์ผู้หญิงรู้ว่าไม่มีวันที่จะได้เจอกับดวงดาวผู้ชายอีกต่อไปแล้ว 
จึงได้แต่โศกเศร้าเสียใจ 

แต่ด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ดวงจันทร์ผู้ชายมีต่อดวงจันทร์ผู้หญิง… 
ทุกค่ำคืนจึงพยายามเปล่งประกายแสงที่ยังเหลืออยู่เพียงน้อยนิดของตนส่องให้ถึง 
ดวงจันทร์ผู้หญิง 
เกิดเป็นแสงพร่างพรายเต็มท้องฟ้าเคียงข้างดวงจันทร์ 
จนเกิดเป็นดวงจันทร์และดวงดาวให้เราเห็นจนถึงทุกวันนี้ 

สังเกตมั้ยว่า…… 
คืนใดที่ดวงจันทร์เต็มดวงจรัสแสงประกายเจิดจ้ามากที่สุด 
คืนนั้นท้องฟ้าไร้ดวงดาว 
แต่หากคืนใดที่เมฆน้อยบดบังดวงจันทร์ไปหมดสิ้น 
ค่ำคืนนั้นเรากลับได้เห็นดวงดาวทอแสงเต็มท้องฟ้า

วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

Danse Macabre :ระบำแห่งความตาย

 ระบำมรณะ (ภาษาอังกฤษ: Dance of Death; ภาษาฝรั่งเศส: Danse Macabre; ภาษาเยอรมัน: Totentanz) เป็นอุปมานิทัศน์จากยุคกลางที่เป็นการเตือนว่าความตายเป็นสิ่งที่ที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง และ “ระบำมรณะ” เป็นสิ่งที่เชื่อมโยงทุกอย่างเข้าด้วยกัน
                                     
“ระบำมรณะ” ประกอบด้วยความตายที่อุปมาเป็นบุคคลที่นำแถวผู้เต้นรำไปยังที่ฝังศพ ผู้ที่เต้นรำก็จะมาจากชนทุกระดับชั้นที่มักจะประกอบด้วยพระจักรพรรดิ, พระเจ้าแผ่นดิน, เด็กหนุ่ม และหญิงสาว ทั้งหมดมักจะอยู่ในรูปของโครงกระดูกหรือกึ่งเน่าเปื่อย การสร้างงาน “ระบำมรณะ” ก็เพื่อเป็นการเตือนว่าชีวิตเป็นของไม่แน่นอนและความมีเกียรติมีศักดิ์เป็นเพียงของนอกกาย ที่มาของ “ระบำมรณะ” มาจากภาพประกอบหนังสือเทศน์ ตัวอย่างที่เก่าที่สุดที่พบมาจากสุสานในปารีสในปี ค.ศ. 1424


งานศิลปะที่เก่าที่สุดของ “ระบำมรณะ” เป็นงานจิตรกรรมในสุสานของวัดโฮลีอินโนเซนต์ส์ในปารีสจาก ค.ศ. 1424 นอกจากนั้นก็ยังมีงานของ
 คอนราด วิตซ์ (Konrad Witz) ที่บาเซลจาก ค.ศ. 1440; เบิร์นท โนตเค (Bernt Notke) ที่ลือเบ็คจาก ค.ศ. 1463; และงานแกะไม้ออกแบบโดยฮันส์ โฮลไบน์ (ผู้ลูก) และแกะโดยฮันส์ ลึทเซลเบอร์เกอร์ (Hans Lützelburger) จาก ค.ศ. 1538





จิตรกรรม

ความสยดสยองต่างๆ ที่เกิดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 14—จากความอดอยากที่เกิดขึ้นหลายครั้ง; สงครามร้อยปีในประเทศฝรั่งเศส; และที่สำคัญที่สุดก็คือกาฬโรคระบาดในยุโรป—เป็นสิ่งสำคัญที่มีผลต่อวัฒนธรรมทั่วไปในยุโรป บรรยากาศของความตายอันทรมานที่เห็นอยู่โดยทั่วไปที่อาจจะเกิดขึ้นกับใครก็ได้หรือเมื่อใดก็ได้ ทำให้ผู้คนหันไปหาศาสนาเพราะความรู้สึกว่าตนเองมีความผิดอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกันก็กระตุ้นให้เกิดความต้องการที่จะมีความสนุกขณะที่ยังมีโอกาส “ระบำมรณะ” รวมทั้งสองความต้องการที่คล้ายคลึงกับละครปริศนา (mystery plays) ของยุคกลาง อุปมานิทัศน์ ของ “ระบำมรณะ” ในสมัยแรกเป็นบทสั่งสอนเพื่อเตือนถึงความตายที่จะมาถึงเมื่อใดก็ได้ และเป็นการเตือนให้มีความเตรียมพร้อมตลอดเวลา
ตัวอย่างแรกที่สุดของละครที่เป็นบทพูดสั้นๆ ระหว่าง “ความตาย” และผู้ที่กำลังจะตายแต่ละคนพบหลังจากกาฬโรคระบาดในประเทศเยอรมนี (ที่เรียกกันว่า “Totentanz” และในประเทศสเปนที่เรียกกันว่า “la Danza de la Muerte”) ในฝรั่งเศสคำว่า “danse macabre” คงมาจากภาษาละติน “Chorea Machabæorum” ซึ่งแปลตรงๆ ว่า “การเต้นรำมัคคาบีส” 2 มัคคาบีสจากเฉลยธรรมบัญญัติ (Deuteronomy) หนึ่งในหนังสือจากคัมภีร์ไบเบิล ที่บรรยายถึงแม่ผู้พลีชีพกับลูกเจ็ดคน ซึ่งเป็นหัวข้อที่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในยุคกลาง และอาจจะเป็นไปได้ว่าการพลีชีพมัคคาบีสฉลองกันในบทละครฝรั่งเศสสมัยต้นที่เป็นบทระหว่างความตายและเหยื่อของความตาย ทั้งบทละครและภาพเขียนที่วิวัฒนาการขึ้นมาใช้เป็นบทสั่งสอนสำหรับผู้คนจำนวนมากในสมัยนั้นที่ไม่มีการศึกษาและอ่านหนังสือไม่ออก
นอกจากนั้น “ระบำมรณะ” ก็ยังพบใน จิตรกรรมฝาผนัง ที่เกี่ยวกับความตายก็เป็นศิลปะที่แพร่หลาย เช่นตำนานเรื่องชายสามคนที่ยังมีชีวิตอยู่พบชายสามคนที่ตายไปแล้ว เรื่องของเรื่องคือชายสามคนขี่ม้าไป ระหว่างทางก็พบโครงกระดูกสามโครงของบรรพบุรุษผู้ที่เตือนว่า “Quod fuimus, estis; quod sumus, vos eritis” (เราเคยเป็น, เจ้าเป็น; เราเป็น, เจ้าจะเป็น) ภาพนี้จากคริสต์ศตวรรษที่ 13 เป็นต้นมายังคงเหลืออยู่หลายแห่งเช่นที่วัดของโรงพยาบาลที่วิสมาร์
จิตรกรรม “ระบำมรณะ” มักจะเป็นภาพการร่ายรำเป็นวงที่นำด้วย “ความตาย” ผู้ร่วมก็มีตั้งแต่ผู้มียศศักดิ์สูงที่สุดในยุคกลางที่อาจจะเป็นพระสันตะปาปา และพระจักรพรรดิ) ไปจนถึงชนชั้นต่ำทีสุดที่อาจจะเป็นขอทาน, ชาวบ้าน หรือเด็ก มือแต่ละมือของผู้ที่มีชีวิตอยู่ก็ถูกกุมโดยมือกระดูกหรือมือที่เน่าเปื่อย ภาพ “ระบำมรณะ” ที่มีชื่อเสียงที่สุดที่ลือเบ็คในวัดมาเรียน (ถูกทำลายระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง) แสดงภาพ“ความตาย” ที่ดูเหมือนจะเต้นรำออกมานอกภาพได้ ขณะที่ผู้ร่วมเต้นรำดูเงอะงะและซึมเซื่อง ความแตกต่างของวรรณะถูกทำให้ละลายหายไปเพราะความตาย เช่น “ระบำมรณะ” ของเม็ตซินที่พระสันตะปาปาสวมมงกุฏที่ถูกนำไปสู่นรกโดย “ความตาย”
โดยทั่วไปแล้วเหยื่อแต่ละคนก็จะมีบทพูดสั้นๆ เมื่อ “ความตาย” เรียกตัวและเมื่อผู้ถูกเรียกครวญครางถึงความตายที่จะมาถึง ในหนังสือ “ระบำมรณะ” ที่พิมพ์ครั้งแรก (ไม่ทราบนาม: Vierzeiliger oberdeutscher Totentanz, Heidelberger Blockbuch, ราว ค.ศ. 1460), “ความตาย” กล่าวต่อ พระจักรพรรดิ:
Her keyser euch hilft nicht das swert
Czeptir vnd crone sint hy nicht wert
Ich habe euch bey der hand genomen
Ir must an meynen reyen komen
มหาบพิตรพระราชสมภารเจ้า พระขรรค์ของพระองค์ก็หาช่วยกันพระองค์ได้ไม่
ณ ที่แห่งนี้ พระคทาและพระมหามงกุฏหาประโยชน์อันใดมิได้
อาตมาได้จับพระหัตถ์ของพระองค์ไว้แล้ว
ด้วยว่าบพิตรจักต้องทรงนาฏกรรมนี้ไปกับอาตมา
ในตอนจบ “ความตาย” เรียกชาวนามาเต้นรำ ชาวนาก็ตอบว่า:
Ich habe gehabt [vil arbeit gross]
Der sweis mir du[rch die haut floss]
Noch wolde ich ger[n dem tod empfliehen]
Zo habe ich des glu[cks nit hie]
อาตมาได้ตรากตรำประกอบการงานต่าง ๆ
เหงื่อกาฬโทรมกายอาตมาหาที่ว่างเว้นมิได้
กระนั้น อาตมาหาอาจหลีกลี้หนีพ้นมรณะได้ไม่
ก็ที่นี้ จะหามีผู้ใดที่ทรงคุณพิเศษสามารถกระทำเช่นนั้นได้แล้วไม่มีเลย  
                                                                                                                                   
      


“ระบำมรณะ” โดย เบิร์นท โนตเคที่วัดเซนต์นิโคลัสที่ทาลลินน์  

วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

Diva


ดีวา (อังกฤษdiva) คือนักร้องหญิงที่มีชื่อเสียง เป็นคำที่ใช้อธิบายถึงผู้หญิงที่มีความสามารถอันโดดเด่นในวงการเพลงอุปรากร นอกจากนั้นอาจรวมถึงในด้านละครเวที ภาพยนตร์ ดนตรีป็อป
ในภาษาอังกฤษ คำว่า ดีวา เริ่มมีการใช้ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยได้รับมาจากคำนามในภาษาอิตาลี ดีวา ที่เป็นเทพธิดา พหูพจน์ในภาษาอังกฤษใช้ว่า "divas" ส่วนในภาษาอิตาลีใช้ว่า dive [ˈdiːve]
คำว่า "ดีวา" มักใช้เป็นความหมายด้านลบ อธิบายหมายถึงผู้มีชื่อเสียงด้านภาพยนตร์หรือดนตรี ที่มีความต้องการสุดโต่งและจุกจิกจู้จี้ ในด้านความอภิสิทธิ์ส่วนตัว